“เพื่อสุขภาพ” ชุมชนสุขภาพ เรื่องราวตรงใจ ตอบโจทย์ทุกช่วงวัย รุ่นไหนก็รัก ♡
โรคเลือด มีอะไรบ้าง ? แต่ละโรคเกิดจากอะไร ? ป้องกันได้แค่ไหน ? มาทำความรู้จักแต่ละโรคกัน !
โรคเลือด (Blood Disorders) หมายถึง ภาวะผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับเลือดและองค์ประกอบของเลือด ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้หลายลักษณะ ไม่ว่าจะเป็นความผิดปกติของเม็ดเลือด, ภาวะการแข็งตัวของเลือก และการที่เกิดสารผิดปกติในเลือด ซึ่งในบทความนี้ เพื่อสุขภาพ จะมาแนะนำเกี่ยวกับ โรคเลือด มีอะไรบ้าง ให้ผู้อ่านได้เข้าใจ เพื่อดูแลสุขภาพกันค่ะ
โรคเลือด มีอะไรบ้าง ? รวม 9 โรคเลือด ที่เจอบ่อยๆ พร้อมรายละเอียด เข้าใจทันที !
สาเหตุของโรคเลือดมีได้หลายอย่าง เช่น พันธุกรรม ภาวะภูมิคุ้มกันผิดปกติ การติดเชื้อ อุบัติเหตุ หรือผลข้างเคียงจากการรักษาโรคบางชนิด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออวัยวะต่างๆ ได้ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม ดังนั้นการตรวจเลือดเป็นประจำ การรับการรักษาตามสาเหตุ เช่น ให้เลือด ยาเคมีบำบัด หรือการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด จะช่วยควบคุมอาการของโรคเลือดได้ดีขึ้น ลองมาดูรายละเอียดของทั้ง 9 โรคเลือดกันในบทความนี้ได้เลยค่ะ
ลักษณะของโรคเลือด มีอะไรบ้าง ?
- ภาวะเม็ดเลือดขาดหรือผิดปกติ เช่น โลหิตจาง เกิดจากการขาดเม็ดเลือดแดงหรือฮีโมโกลบิน, มะเร็งเม็ดเลือดขาว การแบ่งเซลล์เม็ดเลือดขาวผิดปกติ, ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ ภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอ, เม็ดเลือดแข็งผิดปกติ เช่น โรคธาลัสซีเมีย
- ภาวะเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด เช่น เลือดออกง่าย เกิดจากปัจจัยการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ, เลือดจับกันเป็นก้อนง่าย เสี่ยงต่อการอุดตันหลอดเลือด
- ภาวะเลือดมีสารอื่นผิดปกติ เช่น ภาวะไขมันในเลือดสูง เสี่ยงต่อหลอดเลือดอุดตัน, ภาวะเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ เลือดมีน้ำตาลสูงผิดปกติ
โรคเลือด มีอะไรบ้าง ?
1. ภาวะโลหิตจาง (Anemia)
คือ ภาวะที่ร่างกายมีเม็ดเลือดแดงหรือฮีโมโกลบินต่ำกว่าปกติ ทำให้ส่งออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายได้ไม่เพียงพอ
สาเหตุ :
- การขาดธาตุเหล็ก เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด เนื่องจากธาตุเหล็กมีส่วนช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง อาจเกิดจากการได้รับธาตุเหล็กจากอาหารไม่เพียงพอ หรือร่างกายสูญเสียเลือดมาก
- การขาดวิตามินบางชนิด เช่น วิตามินบี12 และโฟเลต ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสร้างเม็ดเลือดแดง
- ภาวะการสลายตัวของเม็ดเลือดแดงมากเกินไป อาจเกิดจากโรคทางพันธุกรรมบางชนิด เช่น โรคธาลัสซีเมีย หรือการติดเชื้อบางชนิด
- การสูญเสียเลือดมากๆ เช่น ประจำเดือนมากผิดปกติ แผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้
อาการ :
อาการที่อาจพบได้จะรุนแรงมากน้อยแตกต่างกันไปตามสาเหตุ และระดับความรุนแรงของภาวะเลือดจาง บางรายอาจไม่แสดงอาการใดๆ ซึ่งต้องตรวจเลือดเพื่อวินิจฉัย หากพบภาวะเลือดจางร่วมกับอาการอื่นๆ ดังนั้นหากมีอาการเหล่านี้ แนะนำว่าควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ และรักษาอย่างเหมาะสมค่ะ
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
- ผิวหนังซีดเผือด
- หายใจหอบเร็ว ใจสั่น เวียนศีรษะ
- เจ็บหน้าอก หายใจไม่สะดวก
- นอนไม่หลับ ขาดสมาธิ
- เล็บและริมฝีปากซีด
- ผมร่วง และบางลง
- เบื่ออาหาร ท้องอืด ท้องเฟ้อ
การรักษา :
จะขึ้นอยู่กับสาเหตุของการเกิดโรค เช่น ให้ธาตุเหล็กเสริมในรายที่ขาดธาตุเหล็ก, ให้วิตามินบี12 และโฟเลต ในรายที่ขาดสาร, ให้ยารักษาโรคทางพันธุกรรม หรือโรคติดเชื้อหากเป็นสาเหตุ, ให้การถ่ายเลือด ในรายที่สูญเสียเลือดมากจนต้องได้รับเลือด
การป้องกัน :
รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็ก วิตามิน และสารอาหารเกี่ยวข้องอย่างเพียงพอ หลีกเลี่ยงการสูญเสียเลือดโดยไม่จำเป็น และพบแพทย์เพื่อการตรวจคัดกรองและรักษาอย่างทันท่วงที
2. โรคเลือดออกไม่หยุด หรือ โรคเลือดออกง่ายตามกรรมพันธุ์ (Hemophilia)
เป็นโรคพันธุกรรมที่ทำให้ร่างกายขาดปัจจัยการแข็งตัวของเลือด ส่งผลให้เลือดไม่สามารถแข็งตัวและหยุดการไหลได้ตามปกติ ซึ่งโรคนี้เป็นโรคทางพันธุกรรมที่รักษาหายไม่ได้ แต่สามารถควบคุมอาการได้หากได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้องและเหมาะสม
สาเหตุ :
- เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ทำให้ขาดแฟคเตอร์การแข็งตัวของเลือด โดยเฉพาะแฟคเตอร์ 8 และ 9
- ถ่ายทอดทางพันธุกรรมแบบรีเซสซีฟ ติดต่อผ่านยีนบนโครโมโซมเพศหญิง แต่เป็นเพศชายเป็นหลัก
อาการ :
- เลือดไหลออกจากแผลไม่หยุด ทั้งจากภายในและภายนอกร่างกาย
- มีรอยช้ำง่าย เลือดออกตามไรฟัน เลือดกำเดาไหล และข้ออักเสบจากเลือดคั่งเนื่องจากเลือดออกในข้อ
การรักษา :
- ฉีดแฟตเตอร์เข้าหลอดเลือดดำเพื่อให้เลือดที่ขาดไปได้รับการทดแทน
- รักษาตามอาการ เช่น ให้เลือดถ้าเลือดออกมาก ให้ยาแก้ปวดถ้ามีอาการข้ออักเสบ
- ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงอาจต้องรับแฟคเตอร์เพื่อให้เลือดแข็งตัว เพื่อลดความเสี่ยงจากอาการแทรกซ้อน
การป้องกัน :
- ไม่สามารถป้องกันการเกิดโรคได้ เนื่องจากเป็นความผิดปกติทางพันธุกรรม
- ผู้ป่วยต้องได้รับการดูแล และรับแฟคเตอร์การแข็งตัวของเลือดอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อน
- หลีกเลี่ยงการบาดเจ็บ การทำให้เลือดออก
- ตรวจคัดกรองทางพันธุกรรมและการปรึกษาก่อนตั้งครรภ์อาจช่วยลดการถ่ายทอดโรคไปยังรุ่นต่อไป
เกร็ดสุขภาพ : แฟคเตอร์ 8 และ 9 เป็นโปรตีนสำคัญที่ร่างกายต้องการในกระบวนการแข็งตัวของเลือด โดย แฟคเตอร์ 8 (Factor VIII หรือ Anti-hemophilic factor) นั้น เป็นโปรตีนที่จำเป็นในขั้นตอนการเกาะกลุ่มและก่อตัวของเกล็ดเลือด ซึ่งผู้ป่วยโรคเลือดออกง่ายตามกรรมพันธุ์ประเภทเอ (Hemophilia A) จะขาดปัจจัยนี้ ส่วนแฟคเตอร์ที่ 9 (Factor IX หรือ Christmas factor) เป็นโปรตีนที่มีบทบาทสำคัญในการเริ่มต้นปฏิกิริยาลูกโซ่ของการแข็งตัวของเลือด ซึ่งผู้ป่วยโรคเลือดออกง่ายตามกรรมพันธุ์ประเภทบี (Hemophilia B) จะขาดปัจจัยนี้ ซึ่งเมื่อร่างกายขาดแฟคเตอร์เหล่านี้ จะทำให้กระบวนการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ ส่งผลให้เลือดไม่สามารถหยุดไหลได้ตามปกติเมื่อมีบาดแผล ทำให้เกิดภาวะเลือดออกรุนแรงและเรื้อรังได้
3. ภาวะเลือดข้น (Polycythemia)
หมายถึงภาวะที่ร่างกายผลิตเม็ดเลือดแดงมากเกินปกติ ทำให้เลือดมีความหนาแน่นหรือความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงสูงผิดปกติ
สาเหตุ :
- ความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ทำให้สร้างเม็ดเลือดแดงมากเกินไป
- การได้รับออกซิเจนน้อยเรื้อรัง เช่น โรคปอดเรื้อรัง การสูบบุหรี่ หรืออาศัยในที่สูง
- ภาวะบางอย่างที่กระตุ้นการสร้างฮอร์โมน Erythropoietin ที่มากเกินไป
อาการ :
- ผิวแดงคล้ำ เพราะมีเม็ดเลือดแดงมาก
- อาการคันผิว คัน โดยเฉพาะหลังอาบน้ำอุ่น
- ปวดศีรษะ วิงเวียนศีรษะ เหนื่อยง่าย ง่วงซึม หายใจลำบาก
- หากรุนแรงอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจวาย หรือโรคหลอดเลือดสมองตีบตัน
การรักษา :
- รักษาด้วยการรับประทานยาเพื่อลดการสร้างเม็ดเลือดแดง
- ถ้ารุนแรงอาจต้องทำการปล่อยเลือดออก เพื่อลดปริมาณเลือด
- ให้เคมีบำบัดเพื่อลดการทำงานของไขกระดูก
การป้องกัน :
- หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดภาวะขาดออกซิเจน เช่น งดสูบบุหรี่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ (เลือดข้น กินอะไรดี อ่านต่อได้อีกนะคะ)
- ตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อคัดกรองโรคตั้งแต่เนิ่นๆ
- ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้ ควรพบแพทย์เพื่อรับการติดตามอย่างสม่ำเสมอ
4. โรคเกร็ดเลือดจากภูมิคุ้มกันต่ำ หรือ Immune Thrombocytopenia (ITP)
เป็นภาวะที่ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันไปทำลายเกร็ดเลือดของตนเอง ทำให้มีภาวะเกร็ดเลือดต่ำกว่าปกติ ซึ่งเกร็ดเลือดมีหน้าที่สำคัญในการช่วยให้เลือดแข็งตัว โรคนี้เกิดได้กับคนทุกวัย แต่จะพบบ่อยในเด็ก
สาเหตุ :
- ภาวะภูมิคุ้มกันผิดปกติ ร่างกายสร้างแอนติบอดีมาทำลายเกร็ดเลือดของตนเอง
- ติดเชื้อบางชนิด เช่น เชื้อไวรัส, แบคทีเรีย, โรคมาลาเรีย
- พันธุกรรมบางชนิด
- เป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด
- โรคมะเร็งบางชนิด
อาการ :
- ผื่นเลือดออกตามผิวหนังง่าย จ้ำเลือดหรือรอยฟกช้ำง่าย
- มีเลือดออกตามไรฟัน เหงือกบวม
- ประจำเดือนมามากผิดปกติ
- หมดแรงเร็ว อ่อนเพลีย คล้ายภาวะขาดเลือด
- หากเกร็ดเลือดต่ำมาก อาจทำให้มีเลือดออกในสมองหรืออวัยวะต่างๆ ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต
การรักษา :
- ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน เช่น สเตียรอยด์ เพื่อลดการทำลายเกร็ดเลือด
- ให้สารกระตุ้นการสร้างเกร็ดเลือด เช่น อิมมูโนโกลบูลิน
- ในรายที่รุนแรง อาจต้องผ่าตัดเอาม้ามออก เพื่อขจัดแหล่งสร้างแอนติบอดี
- หากเกร็ดเลือดต่ำมาก อาจต้องได้รับการถ่ายเลือดหรือเกร็ดเลือด
การป้องกัน :
- สำหรับผู้ป่วยเรื้อรังต้องได้รับการติดตามและรักษาอย่างต่อเนื่อง
- หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่อาจทำให้เกิดอาการกำเริบ เช่น การติดเชื้อ ยาบางชนิด เช่น แอสไพริน (Aspirin) หรือไอบูโปรเฟน (Ibuprofen)
- ป้องกันการบาดเจ็บที่อาจทำให้มีเลือดออก
- ตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อคัดกรองโรคตั้งแต่เนิ่นๆ
5. โรคพรายย้ำ (Petechiae) และจ้ำเขียว (Echymosis)
เป็นอาการที่เกิดจากเลือดออกใต้ผิวหนัง แตกต่างกันที่ขนาด ซึ่งพรายย้ำ คือ จุดเลือดออกขนาดเล็กไม่เกิน 3 มม. เรียกรวมๆ ว่า จุดพร้ายย้ำ ส่วนจ้ำเขียว คือ รอยเลือดออกขนาดใหญ่เกิน 3 มม. มีสีคล้ำและกว้างกว่าพรายย้ำ ซึ่งการเกิดพรายย้ำ และจ้ำเขียวบ่งบอกถึงปัญหาการไหลเวียนหรือการแข็งตัวของเลือดที่ผิดปกติ จึงควรสังเกตอาการและพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสม
สาเหตุ :
- โรคเกร็ดเลือดต่ำ ทำให้เลือดแข็งตัวได้ยาก
- ภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
- การบาดเจ็บหรือถูกกระแทก
- โรคตับ ไตวาย ทำให้มีสารพิษสะสมในร่างกาย
- ผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด เช่น ยาละลายลิ่มเลือด สเตียรอยด์
- ไวรัสบางชนิด เช่น หัด ไข้เลือดออก
อาการ :
- มีจุดพรายย้ำ หรือรอยจ้ำเขียวกระจายตามผิวหนัง
- หากมีสาเหตุจากโรคเกร็ดเลือดต่ำ อาจมีอาการเลือดก้อนงวงช้า เลือดไหลนาน
- หากพบในช่องปาก อาจทำให้เลือดออกตามไรฟัน เหงือกบวม
- หากรุนแรงอาจพบเลือดออกในสมอง ทำให้มีอาการปวดศีรษะรุนแรง วิงเวียนศีรษะ
การรักษา :
- รักษาตามสาเหตุ เช่น ให้เกร็ดเลือด รักษาภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ หยุดยาที่เป็นสาเหตุ
- หลีกเลี่ยงการถูกกระทบกระเทือน ไม่นวดแรงบริเวณที่มีจ้ำเขียว
- ใช้ผ้าสะอาดกดบริเวณที่เลือดออก หากรุนแรงต้องไปพบแพทย์
การป้องกัน :
- หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่อาจทำให้เกิดภาวะเกร็ดเลือดต่ำ เช่น ยาบางชนิด แอลกอฮอล์ การติดเชื้อ
- ระวังอุบัติเหตุที่อาจทำให้ถูกกระแทก แผลถลอกได้
- สังเกตอาการผิดปกติและพบแพทย์หากมีอาการรุนแรง
- ตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อวินิจฉัยโรคได้ตั้งแต่เนิ่นๆ
6. ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis)
เป็นภาวะที่ร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองรุนแรงต่อการติดเชื้อ โดยเชื้อโรคเข้าสู่กระแสเลือดและแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย ส่งผลให้อวัยวะต่างๆ ทำงานผิดปกติ และอาจเกิดภาวะวิกฤตถึงขั้นล้มเหลวได้ ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดเป็นเรื่องฉุกเฉินที่ต้องได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว มิฉะนั้นอาจเสียชีวิตได้ ดังนั้นการป้องกันจึงมีความสำคัญมาก ลองมาทำความเข้าใจเพิ่มเติมกันค่ะ
สาเหตุ :
- เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส รา หรือปรสิต แล้วเชื้อโรคแพร่กระจายสู่กระแสเลือด
- บ่อยครั้งเกิดจากการติดเชื้อในโรงพยาบาล เช่น แผลติดเชื้อ ปอดบวม ไตอักเสบ เป็นต้น
อาการ :
- ไข้สูง หนาวสั่น
- ระบบหายใจ เช่น หายใจเร็ว เหนื่อยหอบ
- ความดันโลหิตต่ำผิดปกติ
- สับสน/ประสาทหลอน
- ปัสสาวะน้อยลง
- ผื่นนูน/จ้ำเลือด เนื่องจากการแข็งตัวผิดปกติของเลือด
การรักษา :
- ให้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาการติดเชื้อ
- ให้สารน้ำทดแทนและยาเพิ่มความดัน
- ช่วยการทำงานของอวัยวะต่างๆ เช่น ใช้เครื่องช่วยหายใจ
- ผ่าตัดในกรณีติดเชื้อที่รุนแรง
การป้องกัน :
- ควบคุมและรักษาโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ภูมิคุ้มกันบกพร่อง
- ล้างมือให้สะอาดเมื่อเข้าโรงพยาบาล
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มสุรา
- ดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลให้ดี
- รับวัคซีนตามที่แพทย์แนะนำ
7. ลูคีเมีย (Leukemia)
คือมะเร็งของเม็ดเลือดขาว เป็นมะเร็งของระบบเลือดชนิดหนึ่ง มีทั้งชนิดเฉียบพลันและเรื้อรัง จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน โดยการป้องกันยังไม่สามารถทำได้อย่างแน่นอน แต่หากเราตระหนัก และดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดี ก็เป็นสิ่งที่ดีที่จะช่วยดูแลสุขภาพตัวเองกันแล้วค่ะ ลองดูรายละเอียดของโรคลูคิดเมีย ดังต่อไปนี้นะคะ
สาเหตุ :
สาเหตุหลักยังไม่ทราบแน่ชัด แต่พบว่ามีปัจจัยเสี่ยงบางประการ เช่น การได้รับรังสี สารเคมีบางชนิด ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง กรรมพันธุ์ เป็นต้น
อาการ :
- ซีด เพราะเม็ดเลือดแดงผลิตน้อยลง
- เลือดออกง่าย ริดสีดวงจมูก เลือดกำเดาไหล เนื่องจากเกล็ดเลือดน้อย
- มีไข้บ่อย ติดเชื้อง่าย เนื่องจากเม็ดเลือดขาวผิดปกติ
- อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
- ปวดกระดูก เนื่องจากมะเร็งแทรกซึมที่ไขกระดูก
- โลหิตจาง ตับม้ามโต มีก้อนที่คอ รักแร้ คลำได้ในระยะลุกลาม
การรักษา :
- เคมีบำบัด ยาเคมีเพื่อกำจัดเซลล์มะเร็ง
- รังสีรักษา ใช้รังสีกำจัดเซลล์มะเร็ง
- ปลูกถ่ายไขกระดูก หลังจากทำลายไขกระดูกเดิมด้วยเคมีบำบัด
- รักษาแบบประคับประคอง เมื่อโรคลุกลามมาก
การป้องกัน :
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสรังสี และสารก่อมะเร็ง
- ไม่สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์
- บริโภคอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ
- ตรวจสุขภาพประจำปี หากมีประวัติในครอบครัว
เกร็ดสุขภาพ : เพื่อรักษาและบรรเทาอาการท้องเสีย ควรหลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีเส้นใยที่ไม่ละลายน้ำ เพราะเส้นใยหรือไฟเบอร์ที่ไม่ละลายน้ำจะเป็นประโยชน์ต่ออาการท้องผูก เมื่อดื่มน้ำปริมาณมากจะช่วยให้อุจจาระนิ่มลง ผู้ที่มีอาการท้องผูกอาจได้รับประโยชน์จากใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ แต่อาจทำให้คนที่มีอาการท้องร่วงหรือท้องเสียแย่ลงได้ เนื่องจากจะทำให้อาหารเคลื่อนที่ผ่านลำไส้เร็วขึ้น แอลกอฮอล์ และสารเสพติดมีผลเสียต่อโรคเลือดหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง เนื่องจากรบกวนการสร้างเม็ดเลือดแดงและทำลายเม็ดเลือดแดงได้ซึ่งส่งผลให้เกิดภาวะโลหิตจาง อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ช่วยเพิ่มความเสี่ยงเลือดออก เพิ่มความเสี่ยงการติดเชื้อ เร่งให้โรคลุกลามเร็วขึ้น เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน ดังนั้น การงดเว้นแอลกอฮอล์และสารเสพติดอย่างเด็ดขาดจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้ป่วยโรคเลือดทุกประเภท เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพและลดภาวะแทรกซ้อน
8. ธาลัสซีเมีย (Thalassemia)
เป็นโรคพันธุกรรมที่มีความผิดปกติของการสร้างสารเฮโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ทาลัสซีเมียเป็นภาวะเลือดจางตั้งแต่แรกเกิดจากความผิดปกติของยีน จำเป็นต้องได้รับการดูแลตลอดชีวิต การรักษาด้วยการให้เลือดและปลูกถ่ายไขกระดูกนับเป็นทางเลือกสำคัญ มาดูรายละเอียดกันต่อค่ะ
สาเหตุ :
- เกิดจากความผิดปกติของยีนที่ควบคุมการสร้างสายพอลีเปปไทด์ของสารเฮโมโกลบิน ทำให้สร้างสารเฮโมโกลบินได้ไม่สมบูรณ์หรือขาดหายไป
- เป็นโรคพันธุกรรมแบบรีเซสซีฟ ถ่ายทอดจากพ่อแม่ที่เป็นพาหะหรือเป็นโรค
อาการ :
- โรคทารกแรกเกิด มีอาการของภาวะโลหิตจางรุนแรง
- โลหิตจาง อ่อนเพลีย ซีด ผิวคล้ำ
- มีภาวะแทรกซ้อนจากภาวะโลหิตจาง เช่น ท้องอืด ตับม้ามโต ไตวาย
การรักษา :
- รักษาอาการด้วยการให้เลือดหรือรับเลือดถี่ๆ
- รักษาด้วยการให้ยาเพิ่มธาตุเหล็กและโฟลิค
- รับประทานยากระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง
- ผ่าตัดตัดม้ามออกเมื่อม้ามโตมาก
- ปลูกถ่ายไขกระดูกในรายที่รุนแรง
การป้องกัน :
- ตรวจวินิจฉัยพาหะในคู่สมรสก่อนมีบุตร
- ทำการปรึกษาพันธุศาสตร์และยุติการตั้งครรภ์ในกรณีทารกเสี่ยง
- ไม่มีการป้องกันได้เมื่อพ่อแม่เป็นพาหะทั้งสองคน
9. ฮีโมฟีเลีย (Hemophilia)
เป็นโรคพันธุกรรมที่ร่างกายขาดปัจจัยการแข็งตัวของเลือด ทำให้เลือดแข็งตัวได้ยาก ฮีโมฟีเลียทำให้มีเลือดออกผิดปกติง่าย ต้องมีการพกแฟคเตอร์การแข็งตัวของเลือดสำรองไว้ตลอดเวลา รักษาโดยให้ปัจจัยดังกล่าวทดแทน และป้องกันไม่ให้เกิดบาดแผล รายละเอียดของโรคนี้คืออะไรบ้าง มาดูกันค่ะ
สาเหตุ :
- เกิดจากความผิดปกติของยีนบนโครโมโซมเพศ ที่ควบคุมการสร้างปัจจัยการแข็งตัวของเลือด
- ถ่ายทอดทางพันธุกรรมแบบยีนด้อย เกิดได้ในเพศชายมากกว่าเพศหญิง
อาการ :
- มีรอยช้ำเขียวง่าย เลือดไหลบ่อยจากจมูก, เหงือก, ริมฝีปาก
- เลือดออกนานผิดปกติเมื่อมีบาดแผล
- อาจมีเลือดออกภายในกล้ามเนื้อหรือข้อต่อ ทำให้บวมและปวด
- เลือดออกมากในกรณีมีอุบัติเหตุหรือผ่าตัด
- ในรายที่รุนแรงอาจมีเลือดออกในสมอง
การรักษา :
- ให้แฟคเตอร์การแข็งตัวของเลือดชนิดที่ขาดแคลนทางหลอดเลือดดำ
- พักการออกแรง ลดการเคลื่อนไหวข้อที่มีเลือดออก
- ในรายรุนแรง อาจต้องรับการปลูกถ่ายไขกระดูก
- ผ่าตัดกรณีมีเลือดคั่งภายในเพื่อลดการบีบรัดเส้นเลือด
การป้องกัน :
- ไม่สามารถป้องกันได้ เนื่องจากเป็นความผิดปกติทางพันธุกรรม
- ผู้ป่วยควรระมัดระวังไม่ให้ถูกบาดเจ็บหรือบาดเลือดออก
- สมาชิกในครอบครัวควรตรวจหาพาหะของโรค
- พิจารณายุติการตั้งครรภ์ในกรณีที่ทารกเสี่ยงเป็นโรครุนแรง
คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคเลือดทุกประเภท
สำหรับผู้ป่วยโรคเลือดทุกประเภท มีคำแนะนำสำคัญๆ ดังนี้
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ทั้งการรับประทานยา การรักษา และการนัดหมาย
- งดเว้นการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้โรคทรุดหนักลง
- รักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล โดยเฉพาะการล้างมือบ่อยๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- บริโภคอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ และอาหารอุดมโปรตีน
- พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
- ออกกำลังกายแบบสม่ำเสมอและปานกลาง โดยปรึกษาแพทย์เพื่อความเหมาะสม
- หลีกเลี่ยงการบาดเจ็บ ระวังเลือดออก สังเกตอาการผิดปกติให้ดี
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพื่อลดความเสี่ยงและภาระของร่างกาย
- จัดการความเครียดที่เหมาะสม เช่น ทำสมาธิ ดูแลจิตใจให้สดชื่น
- ฟังและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างเคร่งครัด
การดูแลรักษาโรคเลือดอย่างถูกวิธีและเคร่งครัดตามคำแนะนำของแพทย์ เป็นสิ่งสำคัญเพื่อควบคุมอาการและลดความรุนแรงของโรคได้ ผู้ป่วยและครอบครัวต้องมีกำลังใจที่เข้มแข็งในการต่อสู้กับโรคเหล่านี้ รวมทั้งพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้เอื้ออำนวยต่อการรักษา เพื่อให้สามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นได้
Featured Image Credit : freepik.com
ติดตามเราได้ที่ … เฟสบุ๊ค : เกร็ดสุขภาพ