X

กลไกป้องกันทางจิต  (Defense Mechanisms) คืออะไร ? ทำความรู้จัก 10 กลไกป้องกันทางจิต ที่มนุษย์ใช้เพื่อป้องกันจิตใจตนเอง !

เพื่อสุขภาพ” ชุมชนสุขภาพ เรื่องราวตรงใจ ตอบโจทย์ทุกช่วงวัย รุ่นไหนก็รัก ♡

กลไกป้องกันทางจิต  (Defense Mechanisms) คืออะไร ? ทำความรู้จัก 10 กลไกป้องกันทางจิต ที่มนุษย์ใช้เพื่อป้องกันจิตใจตนเอง !

มนุษย์เราไม่ชอบความรู้สึกไม่สบายใจ ถ้ามีความรู้สึกอึดอัดคับข้องใจ หงุดหงิดใจ กังวลใจ หรือไม่สบายใจ คนเราก็จะหาทางทำให้ความรู้สึกเหล่านั้นหายไป เพื่อที่จะได้ออกจากความรู้สึกลบๆ เหล่านั้นและใช้ชีวิตประจำวันต่อไปได้ นอกจากการหากิจกรรมอย่างอื่นทำเพื่อเบี่ยงเบนความรู้สึก หรือใช้การผ่อนคลายอารมณ์ด้วยวิธีต่างๆ แล้ว มีสิ่งที่เรียกว่า “กลไกป้องกันทางจิต” หรือกลไกป้องกันจิตใจ เป็นกระบวนทางจิตที่คนเราใช้เพื่อเป็นการบริหารจัดการจิตใจของตัวเอง ขอบอกว่า กระบวนการเหล่านี้ เราทุกคนต่างล้วนเคยใช้กันมาก่อน และก็อาจเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตประจำวันเลยก็ได้ แม้ชื่อจะฟังดูไปในทางจิตวิทยามากๆ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลย มารู้จักกลไกป้องกันจิตใจตัวเองให้มากขึ้น เพื่อที่จะได้เข้าใจตัวเองให้มากขึ้นกันค่ะ

กลไกป้องกันทางจิต สิ่งที่มนุษย์ใช้ป้องกันจิตใจตัวเอง

กลไกป้องกันทางจิต, จิตใจ หมายถึง
Image Credit : freepik.com

ก่อนที่เราจะไปพูดถึงกลไกป้องกันทางจิต เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า จิตใจของเรา หมายถึงอะไร ? ถ้าแปลตามพจนานุกรมไทย จิตใจ หมายถึง อารมณ์ทางใจ อันหมายถึงอารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจหรือในตัวของเรานั่นเอง และในทางจิตวิทยา จิตใจ หมายถึง กระบวนการของจิต เป็นความรู้สึกนึกคิด ความสำนึก ความมีสติ ทั้งนี้ บางครั้งก็เรียกว่า “ความคิด” แทน เนื่องจากเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นในสมองของเรา แม้แต่อารมณ์ ความรู้สึก ในทางกายวิภาคศาสตร์และวิทศาสตร์ สิ่งนี้ก็เกิดขึ้นในสมองของเราเช่นกัน ดังนั้น กลไกการป้องกันทางจิต จึงเกิดขึ้นเพื่อปกป้องความคิด อารมณ์ และความรู้สึกของตัวเองค่ะ

กลไกป้องกันทางจิต (Defense Mechanisms) หรือ กลไกป้องกันจิตใจ เป็น กระบวนทางจิตใจที่เกิดขึ้นในตัวเราโดยอัตโนมัติ ส่วนใหญ่มักจะนำมาใช้โดยไม่รู้ตัว เพื่อเป็นการปรับตัวและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และรักษาความสมดุลหรือความปกติของจิตใจไว้ กลไกป้องกันจิตใจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติตามสัญชาตญาณมนุษย์ ที่จะต้องป้องกันหรือต่อสู้ หรือมีการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดปลอดภัย และดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุข เพื่อเป็นการรักษาสภาพจิตใจของตนเอง

กลไกการป้องกันทางจิต และทฤษฎีจิตวิเคราะห์

กลไกป้องกันทางจิต, จิตใจ หมายถึง
Image Credit : Verywell, Joshua Seong

ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) และนักจิตวิทยาในกลุ่มจิตวิเคราะห์(Psychoanalysis) เชื่อว่ากลไกป้องกันทางจิตเกิดขึ้นในระดับจิตไร้สำนึก (Unconscious) ซึ่งมีบทบาทในการแสดงพฤติกรรมของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พฤติกรรมบางอย่างที่คนเราแสดงออกอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งจิตไร้สำนึกจะเป็นตัวกระตุ้นให้คนเราแสดงพฤติกรรมตามความพึงพอใจ หรือมีการกระทำบางอย่างเพื่อให้ตนเองรู้สึกดีขึ้น

นอกจากนี้ ซิกมันด์ ฟรอยด์ ได้มีการเปรียบจิตใจของคนเราเป็นภูเขาน้ำแข็ง 3 ระดับ ซึ่งประกอบไปด้วย อิด (Id) คือแรงขับทางสัญชาตญาณที่ติดตัวมาแต่กำเนิด (Instinct Drive) กระตุ้นให้มนุษย์ตอบสนองตามความต้องการและความพอใจ ซึ่งจิตไร้สำนึก จะอยู่ในระดับของ อิด ต่อมาคือ อีโก้ (Ego) เป็นสิ่งที่พัฒนามาจากการเรียนรู้โลกตามความเป็นจริง และความคิดเป็นเหตุเป็นผล อีโก้คือสิ่งที่บริหารจิตใจให้เกิดความสมดุล ส่วน ซูเปอร์อีโก้ (Superego) คือสิ่งที่ก่อตัวขึ้นจากบรรทัดฐานทางสังคม ระเบียบ กฎเกณฑ์ ศีลธรรมที่สังคมได้กำหนดขึ้น เป็นสิ่งที่กำหนดให้คนเรารู้ว่า สิ่งใดถูก สิ่งใดผิด ถ้าเปรียบง่ายๆ อิด คือ สัญชาตญาณ อีโก้ คือความเป็นจริงที่อยู่ตรงกลาง และซูเปอร์อีโก้คือส่วนของคุณธรรม จริยธรรมของบุคคลนั่นเอง

เกร็ดสุขภาพ : จิตไร้สำนึก (Unconscious mind) เปรียบเหมือนภูเขาน้ำแข็งในส่วนที่อยู่ใต้ผิวน้ำซึ่งมีปริมาณมาก และเป็นส่วนของพฤติกรรมภายในที่บุคคลกระทำโดยไม่รู้ตัว โดยฟรอยด์วิเคราะห์ว่าอาจเกิดจากการถูกเก็บกดหรือพยายามจะลืม เช่น อารมณ์โกรธ ความอิจฉา ความเกลียดชัง ความขมขื่นปวดร้าว ในบางเหตุการณ์เหมือนจะลืมไปแล้วจริงๆ แต่ ฟรอยด์อธิบายว่าแท้จริงสิ่งเหล่านั้นไม่ได้หายไปไหน แต่จะถูกเก็บไว้ในจิตไร้สำนึกและจะปรากฏออกมาในรูปของความฝัน การพูดพลั้งปาก การละเมอ เป็นต้น

10 กลไกป้องกันทางจิต ที่มนุษย์มักใช้เพื่อป้องกันจิตใจตนเอง

กลไกป้องกันทางจิต, จิตใจ หมายถึง
Image Credit : freepik.com

ตอนนี้ก็ได้รู้แล้วว่า การป้องกันจิตใจ หมายถึงอะไร และรู้เกี่ยวกับกลไกทางจิตและทฤษฎีของซิกมันด์ ฟรอยด์ กันไปพอหอมปากหอมคอแล้ว เรามาดูกันต่อว่า กลไกป้องกันทางจิตในมนุษย์เรานั้น มีอะไรบ้าง และแต่ละแบบมีรายละเอียดอย่างไร มนุษย์เรามักจะใช้ในสถานการณ์ใดบ้าง ว่าแล้วก็ไปดูกันเลยค่ะ

1. การเก็บกด (Repression)

เป็นกลไกป้องกันจิตใจขั้นพื้นฐานที่มนุษย์เราใช้เพื่อปกป้องตัวเองจากความวิตกกังวลต่างๆ อันเกิดจากความขัดแย้ง ความคับข้องใจ การเก็บกดจะทำให้ความรู้สึกลบๆ หรือประสบการณ์ร้ายๆ บางอย่างที่เรารู้สึกไม่พอใจถูกเก็บไว้ในจิตไร้สำนึก และเปลี่ยนเป็นการลืม ทำให้เราไม่สามารถจำเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจนั้นๆ ได้ เพื่อเป็นการปกป้องตัวเองไม่ให้รู้สึกไม่ดีถ้าหากจำเหตุการณ์นั้นๆ ได้นั่นเอง

2. การแสดงปฏิกิริยาที่ตรงข้ามกับความรู้สึกที่แท้จริง (Reaction Formation)

เป็นการเก็บกดความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้ เนื่องจากเป็นสิ่งที่สังคมไม่ยอมรับ จึงแสดงพฤติกรรมที่ตรงข้ามกับความรู้สึกของตน เพื่อไม่ให้ถูกตำหนิหรือถูกมองไม่ดี คล้ายๆ กับสำนวนไทยที่ว่า หน้าเนื้อใจเสือ ปากหวานก้นเปรี้ยว เป็นต้น เช่น รู้สึกอิจฉาเพื่อนที่ได้เลื่อนตำแหน่ง จึงเลือกแสดงออกโดยการแสดงความยินดีโอเวอร์เกินจริง เพื่อปกปิดความรู้สึกอิจฉาเอาไว้

3. การหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง (Rationalization)

เป็นการหาคำอธิบายหรือหาเหตุผลมารองรับการกระทำของตัวเองเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ การหาเหตุผลมารองรับในการกระทำของเรานั้น เป็นวิธีการจัดการความเครียด ความวิตกกังวล ความไม่สบายใจที่เกิดขึ้น และยังเป็นการรักษาหน้าหรือรักษาศักดิ์ศรีของตนเองด้วย การเข้าข้างตัวเองเราจะเห็นได้บ่อยๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น อยากมีแฟนแต่ตอนนี้ยังโสดอยู่ ก็อาจจะบอกว่า โสดก็ดีแล้ว สบายใจดี มีเวลาส่วนตัว ซึ่งเป็นการพูดปลอบใจตัวเอง เพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น

4. การแสดงพฤติกรรมถอยหลัง (Regression)

เป็นการแสดงพฤติกรรมแบบย้อนกลับไปมีลักษณะเหมือนพฤติกรรมที่เคยทำมาในอดีต ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อคนเรารู้สึกไม่มั่นคงทางจิตใจ มีความคับข้องใจ ถ้าเป็นในวัยเด็กจะพบการแสดงพฤติกรรมเช่นนี้ในกรณีที่ครอบครัวมีสมาชิกใหม่ เช่น มีน้อง เมื่อเด็กเห็นพ่อแม่เอาใจใส่น้องตนเองก็จะเกิดความไม่มั่นคงทางจิตใจขึ้น และคิดว่าพ่อแม่ไม่รักตนเอง ก็จะแสดงพฤติกรรมกลับไปเป็นเด็กทารกอีกครั้ง เช่น ร้องไห้ งอแง โวยวาย เพื่อให้พ่อแม่กลับมาสนใจตนเอง หรือถ้าเป็นในวัยผู้ใหญ่ ก็จะเกิดขึ้นในเวลาที่ไม่ได้รับความสนใจจากคนรอบข้าง หรือถูกขัดใจ โดยจะแสดงพฤติกรรมเอาแต่ใจตัวเอง จู้จี้ หงุดหงิด ขี้งอน ขี้โวยวาย เพื่อเป็นการเรียกร้องความสนใจจากคนรอบข้างนั่นเอง ซึ่งในวัยผู้ใหญ่อาจถูกมองว่ามีวุฒิภาวะไม่เหมาะสมกับวัยได้

5. การปฏิเสธความจริง (Denial)

กลไกป้องกันทางจิต, จิตใจ หมายถึง
Image Credit : freepik.com

เป็นการปฏิเสธความจริงที่กระทบกระเทือนต่อจิตใจอย่างรนแรงจนไม่สามารถยอมรับได้ ทำให้บุคคลนั้นไม่ยอมรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับตน เพื่อเป็นการหลอกตนเองไม่ให้รู้สึกเป็นทุกข์ ซึ่งอาจเกิดขึ้นเมื่อบุคคลสูญเสียคนที่รักไปโดยกระทันหัน การปฏิเสธโรคร้ายแรงบางชนิด หรือปฏิเสธการกระทำความผิดบางอย่างของตนเอง ซึ่งกลไกป้องกันจิตใจแบบนี้ อาจพัฒนาไปสู่การเป็นโรคหลอกตัวเองหรือโรคจิตเภทได้

เกร็ดสุขภาพ : โรคหลอกตัวเอง (Pathological Liar) เป็นความผิดปกติทางบุคลิกภาพชนิดหนึ่ง หรือเป็นความผิดปกติทางพฤติกรรม โดยบุคคลจะมีพฤติกรรมโกหกตามแรงกดดันจนเป็นนิสัย เมื่อถูกบังคับหรือถูกกดดันให้พูดความจริง จะรู้สึกอึดอัด ไม่สบายใจ จนกลายเป็นพฤติกรรมโกหกโดยอัตโนมัติ และบางครั้งก็เชื่อว่าเรื่องโกหกที่ตัวเองเล่านั้นเป็นเรื่องจริง ซึ่งสามารถรักษาโดยการบำบัดกับนักจิตบำบัด หรือปรึกษาจิตแพทย์ค่ะ

6. การระบายกับสิ่งอื่น (Displacement)

เป็นการระบายความคับข้องใจ หรืออารมณ์โกรธที่มีอยู่ในขณะนั้นกับคนหรือสิ่งของที่ไม่ได้เป็นต้นเหตุของความโกรธหรือความคับข้องใจที่เกิดขึ้น เช่น โกรธเจ้านาย แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ จึงไประบายอารมณ์ด้วยการเตะถังขยะ หรือไปอารมณ์เสียใส่เพื่อนร่วมงานแทน หรือการที่หงุดหงิดแฟนแต่ไม่สามารถทำอะไรได้ ก็เลยระบายอารมณ์ด้วยการทุบกำแพง หรือทำลายสิ่งของ เป็นต้น

7. การโทษผู้อื่น (Projection)

การโทษผู้อื่นเป็นกลไกป้องกันจิตใจที่นิยมใช้กันมาก เกิดจากการที่คนเราทำความผิดพลาดขึ้นและรู้สึกผิด แต่เพื่อให้ความรู้สึกผิดที่เกิดขึ้นในใจนั้นลดน้อยลงจึงพยายามโยนความผิดไปให้ผู้อื่นด้วย เช่น เดินชนข้าวของและก็บอกว่าคนวางของเกะกะทางเดินเอง ตัวเองมาทำงานสายแล้วก็โทษว่าแท็กซี่ขับรถช้า เป็นต้น ซึ่งกลไกป้องกันตนเองแบบนี้ หากใช้บ่อยๆ จะทำให้กลายเป็นคนที่มีนิสัยชอบโทษคนอื่นและอาจส่งผลเสียด้านความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้

8. การชดเชย (Compensation)

เป็นวิธีที่คนเรานำมาใช้เมื่อพบว่าตนเองมีข้อบกพร่องบางอย่างอยู่ และรู้สึกว่าเป็นปมด้อย จึงพยายามสร้างจุดเด่นขึ้นมาชดเชยปมด้อยของตนเอง อาทิ นักเรียนที่เรียนไม่เก่งจึงหันไปเอาดีทางด้านกีฬาแทนจนได้เป็นทีมโรงเรียนหรือทีมจังหวัด คนที่รู้สึกว่าตนเองหน้าตาไม่ดี ไม่เป็นที่ยอมรับ จึงพยายามเรียนเก่งๆ เพื่อที่จะได้เป็นที่ยอมรับและรู้สึกภาคภูมิใจในตนเอง (เป็นเพียงการยกตัวอย่างเท่านั้น ไม่ได้เป็นการเหมารวมแต่อย่างใด) ซึ่งกลไกป้องกันจิตใจตนเองแบบนี้ถือเป็นการปรับตัวในเชิงบวกมากกว่าวิธีอื่นๆ และเป็นรูปแบบของการสร้างสรรค์และพัฒนาตนเองเพื่อลบความรู้สึกปมด้อยของตนเอง

9. การไถ่บาป (Undoing)

เป็นการป้องกันทางจิตที่มีความสำนึกผิด โดยการแสดงพฤติกรรมที่แสดงถึงการขอขมา ขอโทษ หรือลบล้างความผิดที่ได้ทำลงไป และพยายามหาทางไถ่โทษด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อให้ตนเองรู้สึกสบายใจมากขึ้น และเพื่อให้ตนเองรู้สึกว่าพ้นความผิดแล้ว เช่น ผิดนัดกับเพื่อนตึงขอเลี้ยงข้าวเป็นการไถ่โทษ หรือเป็นคนที่ทำการทุจริตและนำเงินที่ได้มาส่วนหนึ่งไปบริจาคการกุศล หรือเป็นในกรณีที่บุคคลดูแลเอาอกเอาใจคนรักเป็นอย่างดีหลังจากที่เคยนอกใจ เป็นต้น

10. การถอยหนี (Withdrawal)

เป็นการป้องกันจิตใจตัวเองเพื่อใช้ลดความกลัว ความวิตกกังวล และความเครียดที่เกิดขึ้น โดยการการหลีกเลี่ยงสถานการณ์ ตัวบุคคล หรือสิ่งแวดล้อมที่ก่อให้เกิดความรู้สึกลบๆ เรียกง่ายๆ ว่าเป็นการหนีปัญหานั่นเองค่ะ ซึ่งจะส่งผลเสียมากกว่าผลดี เพราะปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไขและไม่สามารถเผชิญหน้ากับความกลัว ความกังวลที่เกิดขึ้นได้ด้วย ซึ่งการหนีปัญหาบ่อยๆ นั้นจะทำให้เราไม่อยู่ในโลกของความเป็นจริง และการหลีกเลี่ยงปัญหาบ่อยๆ ทำให้ปัญหายังคงคาราคาซัง ส่งผลให้ชีวิตวุ่นวายได้

ทำไมคนเราจะต้องมีกลไกป้องกันทางจิตด้วยล่ะ ?

ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่า กลไกป้องกันทางจิต เกิดขึ้นเพื่อให้มนุษย์เราสามารถรักษาสภาพจิตใจของตัวเองเอาไว้ได้ และให้เกิดความสมดุล เป็นการหาหนทางอยู่รอดตามสัญชาตญาณของมนุษย์ และคนเราจะต้องมีการป้องกันจิตใจตัวเอง ก็เพื่อเหตุผลดังนี้

  1. เพื่อคงไว้หรือเพิ่มพูนความภาคภูมิใจในตนเอง โดยกลไกป้องกันจิตใจจะทำให้คนเรารู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า ไม่ได้ทำความผิดบาป และไม่ได้เป็นผู้สร้างปัญหาขึ้น 
  2. เพื่อลดความวิตกกังวล ซึ่งมีกลไกป้องกันตนเองหลายแบบที่เมื่อจิตไร้สำนึกของคนเราใช้กลไกแบบนี้แล้วทำให้ความรู้สึกวิตกกังวลลดลง หรือทำให้ความวิตกกังวลหายไป ทำให้รู้สึกสบายใจและมีความสุขมากขึ้นกว่าเดิม
  3. เป็นวิธีแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า โดยนำกลไกป้องกันจิตใจ มาใช้แทนการแก้ไขปัญหานั้นๆ โดยตรง ทำให้รู้สึกสบายใจมากขึ้นและผ่อนคลายความรู้สึกตึงเครียดที่เกิดขึ้นได้ แม้ปัญหาจะยังคงอยู่และยังไม่ได้รับการแก้ไขก็ตาม 
  4. ใช้เป็นเกราะป้องกันอีโก้หรืออัตตาของตนเอง จากอันตรายหรือสิ่งที่มาคุกคาม เช่น จิตใต้สำนึก หรือโลกภายนอกที่จะทำให้เรารู้สึกสูญเสียอีโก้ของตนเองไป และทำให้รู้สึกว่าตนเองอ่อนแอ ไม่มั่นคง และเกิดความทุกข์ใจตามมา จึงใช้กลไกป้องกันจิตใจเป็นเกราะกำบังอีโก้ของตัวเองไว้

กลไกป้องกันจิตใจตัวเองบางวิธี ก็เป็นวิธีที่เราพบเห็นได้ทั่วไป และบางครั้งเราก็อาจไม่ได้สนใจว่า นี่คือกระบวนการทางจิตที่มนุษย์เราใช้เพื่อรักษาสภาพจิตใจของตัวเอง และเป็นสิ่งที่เป็นสัญชาตญาณ บางครั้งก็ไม่สามารถกำหนดหรือควบคุมได้ และทำไปโดยไม่รู้ตัว การเรียนรู้เกี่ยวกับจิตใจตัวเอง อย่างกลไกป้องกันทางจิต อย่างน้อยก็จะทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น หรือเข้าใจพฤติกรรมของคนอื่นมากขึ้นว่า เกิดจากอะไร ใช่หนึ่งในวิธีการป้องกันจิตใจตัวเองหรือไม่ จะเห็นว่า เรื่องที่เกี่ยวกับสุขภาพจิตและจิตวิทยาไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลยแม้แต่น้อย การเรียนรู้และเข้าใจในเรื่องของจิตใจให้มากขึ้น ก็อาจจะทำให้เราดูแลสุขภาพใจของตัวเองได้ดีขึ้นก็ได้นะคะ

อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก : journal.psy.kbu.ac.th, bu.ac.th, healthline.com

Featured Image Credit : pexels.com/Pixabay

ติดตามเราได้ที่ … เฟสบุ๊ค : เกร็ดสุขภาพ

ติดต่อโฆษณา

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้การวิเคราะห์

    เราขออนุญาติใช้คุกกี้นี้เก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ เพื่อประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ที่ดีขึ้นให้กับคุณ

Save