“เพื่อสุขภาพ” ชุมชนสุขภาพ เรื่องราวตรงใจ ตอบโจทย์ทุกช่วงวัย รุ่นไหนก็รัก ♡
มะปรางกับมะยงชิด ต่างกันอย่างไร ? มาทำความรู้จักกับผลไม้ที่คุณอาจเคยสับสนกัน !
ประเทศไทยของเรานั้นมีผลไม้ทุกฤดูกาล ไม่ว่าจะเป็นผลไม้หน้าร้อน หน้าฝน หรือหน้าหนาว อย่างผลไม้หน้าร้อนที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก นอกจากทุเรียนแล้วก็คือ มะปรางกับมะยงชิดนั่นเอง แต่หลายคนก็แยกผลไม้ทั้งสองชนิดนี้ไม่ออก เพราะมีความคล้ายกันอย่างมาก ดังนั้นในบทความนี้ เพื่อสุขภาพจะพาไปรู้จักกันว่า มะปรางกับมะยงชิด ต่างกันอย่างไร รวมถึงแชร์ไอเดียในการกินให้ลองไปกินตามด้วยค่ะ
ผลไม้ฝาแฝด ? มะปรางกับมะยงชิด ต่างกันอย่างไร ? มาหาคำตอบกัน !
ผลไม้ของไทยเรานั้น นอกจากมะปรางกับมะยงชิดแล้ว ยังมีผลไม้อื่นๆ อีกที่มีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก เช่น ระกำกับสละ ลางสาดกับลองกอง จำปาดะกับขนุน เป็นต้น แต่ถ้าหากเป็นมะม่วงหาว มะนาวโห่นั้น คือชื่อผลไม้ชนิดเดียว ที่หลายคนอาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็นผลไม้สองชนิดที่คล้ายกัน ส่วนมะปรางและมะยงชิดนั้นเป็นผลไม้ที่นิยมทั้งกินสดและนำไปเชื่อม หรือนำไปเป็นส่วนผสมของขนมต่างๆ ก็ได้เหมือนกัน แต่ถึงจะมีความเหมือนกันในเรื่องของการบริโภค แต่ก็มีบางอย่างที่ต่างกัน มะปรางกับมะยงชิด ต่างกันอย่างไร เรามารู้จักกันเลยค่ะ
ความต่างของ มะปราง และ มะยงชิด คืออะไร ?
มะปรางและมะยงชิดเป็นผลไม้ที่มีความคล้ายคลึงกันในบางลักษณะ แต่ก็มีความแตกต่างกันชัดเจนในด้านรูปลักษณ์และรสชาติ ดังนี้ ลองมาดูรายละเอียดกันะคะ
1. รูปร่างและขนาด
- มะปราง : ผลมะปรางมีลักษณะกลมรี ขนาดเล็กถึงกลาง ผิวเรียบเนียน สีเขียวอมเหลืองเมื่อสุก
- มะยงชิด : ผลมะยงชิดจะมีลักษณะกลมหรือรูปไข่ ผิวขรุขระเล็กน้อย ขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย และมีสีเขียวอมเหลืองเช่นกันเมื่อสุก
2. รสชาติ
- มะปราง : รสชาติของมะปรางจะมีความหวานอมเปรี้ยว และมีกลิ่นหอมอ่อนๆ
- มะยงชิด : รสชาติของมะยงชิดจะหวานกว่าและมีกลิ่นหอมมากกว่า โดยเฉพาะเมื่อผลสุกเต็มที่
3. เนื้อและเนื้อสัมผัส
- มะปราง : เนื้อจะบางและไม่ค่อยเหนียว เปื่อยยุ่ยได้ง่ายเมื่อสุก
- มะยงชิด : เนื้อมีความเหนียวกว่าและค่อนข้างหนาเมื่อเทียบกับมะปราง
4. การรับประทาน
- มะปราง : มักใช้ในอาหารขนมหวานหรือทำเป็นน้ำผลไม้
- มะยงชิด : มักนิยมรับประทานสด หรือใช้ในขนมหวาน เช่น ใช้ทำแยม
ในทางการตลาดและการเพาะปลูก มะยงชิดมักจะเป็นที่นิยมมากกว่ามะปราง เนื่องจากรสชาติที่หวานกว่าและกลิ่นหอมที่เด่นชัดกว่านั่นเอง
เกร็ดสุขภาพ : ในประเทศไทยจะแบ่งสายพันธุ์ของมะปรางตามรสชาติได้ 3 สายพันธุ์ คือ มะปรางเปรี้ยว มะปรางหวาน และมะยงชิด โดยมะปรางเปรี้ยว จัดเป็นผลไม้ที่มีรสชาติเปรี้ยวจัด นิยมนำไปแช่อิ่มหรือดอง ส่วนมะปรางหวานให้รสชาติหวานจัด ในขณะที่มะยงชิดจะมีรสชาติหวานอมเปรี้ยว แต่ถ้ามีรสชาติเปรี้ยวนำหวาน จะเรียกว่า มะยงห่าง นั่นเองค่ะ
มะปราง กับ มะยงชิด ประโยชน์ต่างกันมั้ย ?
ด้วยเพราะทั้งมะปรางและมะยงชิดนั้น เป็นผลไม้ในตระกูลเดียวกัน จึงให้ประโยชน์ที่เหมือนกันคือ มีวิตามินซี และเบต้าแคโรทีนสูง รวมถึงอุดมไปด้วยวิตามินเอ แคลเซียม ฟอสฟอรัส และสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งให้ประโยชน์ในด้านต่างๆ ดังนี้
- ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย
- ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ เช่น มะเร็ง เบาหวาน ความดันโลหิต เป็นต้น
- มีวิตามินเอสูง ช่วยบำรุงและรักษาดวงตาได้เป็นอย่างดี
- มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูง ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน
- ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน
- แก้อาการมีเสมหะ น้ำลายเหนียว
- ใบสามารถใช้เป็นยาพอกแก้ปวดศีรษะได้
- รากสามารถนำไปต้มกับน้ำดื่ม เพื่อถอนพิษ แก้ไข้ ตัวร้อน
แต่ถึงประโยชน์ในด้านต่างๆ จะใกล้เคียงกัน แต่ก็มีความแตกต่างเล็กน้อยในบางจุดเหมือนกัน ลองดูเพิ่มเติมกันนะคะ
ประโยชน์ของมะปราง
- บำรุงระบบย่อยอาหาร : เนื่องจากมะปรางมีเส้นใยอาหารสูง ช่วยในการกระตุ้นการขับถ่ายและบำรุงระบบย่อยอาหาร
- ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน : มะปรางมีวิตามินซีสูง ซึ่งช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
- ช่วยให้ผิวพรรณสดใส : วิตามินซีในมะปรางยังมีประโยชน์ในการช่วยบำรุงผิวพรรณให้กระจ่างใส
- ลดความดันโลหิต : มะปรางมีสารที่ช่วยลดความดันโลหิตและป้องกันโรคหัวใจ
มะยงชิด ประโยชน์ที่น่าสนใจ
- บำรุงร่างกาย : มะยงชิดมีสารอาหารหลายชนิดเช่น วิตามินซี แคลเซียม ฟอสฟอรัส ช่วยบำรุงกระดูก ฟัน และเนื้อเยื่อ
- ช่วยบำรุงผิว : วิตามินซีในมะยงชิดช่วยให้ผิวพรรณแข็งแรงและกระจ่างใส
- ช่วยลดการอักเสบ : มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย
- เสริมระบบภูมิคุ้มกัน : ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและต้านทานโรคได้ดีขึ้น
โดยรวมแล้วทั้ง มะปราง และ มะยงชิด ต่างก็มีประโยชน์ที่ดีต่อสุขภาพทั้งคู่ เช่น การบำรุงผิวพรรณ ระบบย่อยอาหาร และเสริมภูมิคุ้มกัน แต่ มะยงชิด มักจะมีสารอาหารที่เข้มข้นกว่า โดยเฉพาะในแง่ของแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่ช่วยในเรื่องกระดูกและฟัน ขณะที่ มะปราง จะเหมาะกับการช่วยระบบย่อยอาหารและการขับถ่ายมากกว่า
การเลือกซื้อ และการเก็บรักษา
การเลือกซื้อ มะปราง
- เลือกมะปรางที่มีผิวเรียบ สีเขียวอมเหลืองหรือเหลืองทอง (สุกเต็มที่) หากเลือกผลมะปรางที่มีสีเขียวมาก อาจจะยังไม่สุกดี
- ควรหลีกเลี่ยงผลที่มีรอยช้ำหรือจุดดำ เพราะอาจเป็นสัญญาณของการเน่าเสีย
- ผลมะปรางที่สุกจะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ และเนื้อนุ่ม
การเก็บรักษา มะปราง
- หากสุกเต็มที่แล้ว ควรเก็บในตู้เย็นเพื่อรักษาความสด และกินภายใน 1-2 วัน
- หากยังไม่สุก สามารถเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้องให้ผลสุกเองได้
- หากต้องการเก็บรักษาให้ยาวนานขึ้น ให้หั่นเป็นชิ้นและแช่แข็งเพื่อเก็บรักษา
การเลือกซื้อ มะยงชิด
- เลือกที่มีผิวเรียบ ไม่มีรอยช้ำหรือจุดดำ สีของผลจะเป็นสีเขียวอมเหลืองหรือเหลืองทอง
- หากเลือกมะยงชิดที่ยังไม่สุกเต็มที่ สามารถทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องเพื่อให้สุกได้อย่างธรรมชาติ
- ผลที่สุกจะมีลักษณะนุ่มและมีกลิ่นหอม
การเก็บรักษา มะยงชิด
- ควรเก็บผลที่สุกเต็มที่แล้วในตู้เย็นเพื่อไม่ให้เน่าเสียเร็ว
- หากยังไม่สุกเต็มที่ ให้เก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง
- ไม่แนะนำให้แช่แข็งมะยงชิด เพราะจะทำให้เนื้อของผลไม้มีความเหนียวและสูญเสียรสชาติได้
เกร็ดสุขภาพ : การเลือกมะปราง หรือ มะยงชิด ไปทำอาหารคาวนั้น สามารถใช้ได้ทั้งผลสุก และดิบค่ะ หากเป็นการยำ ต้ม ทำแกงต่างๆ ที่ต้องการรสหอม หวาน นุ่มละมุนให้ใช้ผลสุก แต่หากต้องการนำไปทำเมนูยำ หรือส้มตำที่ต้องการรสเปรี้ยวจากผลไม้ ให้เลือกผลดิบจะได้รสชาติจากธรรมชาติเลยหล่ะค่ะ
ไอเดียเมนูจากมะปราง และ มะยงชิด มีอะไรบ้าง ?
เมนูมะปรางกับมะยงชิด ต่างกันอย่างไร ต้องบอกว่าแทบไม่ต่างกันมากค่ะ เพราะสามารถนำมาทำเมนูคล้ายๆ กันได้ นอกจากกินผลสุกแล้ว ยังนิยมนำมาทำผลไม้แช่อิ่ม และใส่ในของหวาน อย่างเมนูลอยแก้ว สมูทตี้ ขนมเค้ก หรือใส่ในเครื่องดื่ม ส่วนเมนูของคาวนั้น สามารถนำไปผัดกับน้ำพริกกะปิ ใส่ในยำ หรือใส่ในส่วนผสมของซอสต่างๆ ก็ได้ค่ะ ลองมาดูไอเดียเมนูทั้งคาว หวาน และเครื่องดื่มจากผลไม้ฝาแฝดกันนะคะ
2 สไตล์ เมนูอาหารคาว จาก มะปราง และมะยงชิด
แกงเขียวหวานมะปราง
- วัตถุดิบ: มะปราง 2 ลูก, เนื้อไก่, กะทิ, พริกแกงเขียวหวาน, ใบมะกรูด, มะเขือพวง
- วิธีทำ : นำ มะปรางหั่นเป็นชิ้นพอคำ ใส่ในแกงเขียวหวานเพื่อเพิ่มรสชาติหวานและกลิ่นหอม นำไปต้มรวมกับกะทิ พริกแกงเขียวหวาน และเนื้อไก่ เสิร์ฟกับข้าวสวย
ต้มยำมะยงชิด
- วัตถุดิบ: มะยงชิด 2 ลูก, กุ้งสด, เห็ดฟาง, ใบมะกรูด, ตะไคร้, พริกขี้หนู, น้ำปลา, น้ำมะนาว, น้ำตาล
- วิธีทำ : นำมะยงชิดหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วใส่ในน้ำซุปต้มยำที่มีสมุนไพร เช่น ตะไคร้ ใบมะกรูด พริกขี้หนู พร้อมกับกุ้งและเห็ดฟาง ต้มจนเดือดและปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะนาว และน้ำตาล
ไอเดียเมนูอาหารหวาน จาก มะปราง และมะยงชิด
ขนมลูกชุบ มะปราง
- วัตถุดิบ : มะปรางสุก, เนื้อมะปราง, แป้งข้าวโพด, น้ำตาล
- วิธีทำ : ต้มน้ำมะปรางและเนื้อมะปรางกับน้ำตาลจนข้น ใส่แป้งข้าวโพดเล็กน้อย พอน้ำข้นได้ที่แล้วปั้นเป็นลูกกลมๆ คล้ายขนมลูกชุบ
เค้กมะยงชิด
- วัตถุดิบ : มะยงชิด 2 ลูก, แป้งเค้ก, น้ำตาล, ไข่, น้ำมันพืช
- วิธีทำ : นำมะยงชิดมาปั่นละเอียด จากนั้นผสมกับส่วนผสมอื่นๆ เช่น แป้งเค้ก น้ำตาล ไข่ และน้ำมัน พักให้แป้งขึ้นแล้วนำไปอบจนสุก
ไอเดียเครื่องดื่มจากมะยงชิด และมะปราง
น้ำมะปรางสด
วัตถุดิบ : มะปรางสุก 2-3 ลูก, น้ำตาล (หรือหญ้าหวาน), น้ำเย็น
วิธีทำ : นำมะปรางมาคั้นน้ำให้หมด จากนั้นเติมน้ำตาลเล็กน้อย (หรือหญ้าหวาน) และน้ำเย็นเพื่อให้สดชื่น ชิมรสตามชอบ
น้ำมะยงชิดผสมมะนาว
วัตถุดิบ : มะยงชิดสุก 2 ลูก, น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำตาล, น้ำเย็น
วิธีทำ : นำมะยงชิดมาคั้นน้ำแล้วผสมกับน้ำมะนาวและน้ำตาล ชิมรสตามชอบ เติมน้ำเย็นแล้วคนให้เข้ากัน
คราวนี้ทุกคนก็ได้รู้กันแล้วนะคะว่ามะปรางกับมะยงชิด ต่างกันอย่างไร ต้องบอกว่ามีความต่างแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้นในเรื่องของรสชาติ นอกนั้นมีความคล้ายกันทั้งประโยชน์ และการนำมาทำเมนูต่างๆ ซึ่งผลไม้หน้าร้อนทั้งสองชนิดนี้ นอกจากให้ความหวานอมเปรี้ยวที่สดชื่นแล้วนั้น ยังให้ประโยชน์ดีๆ ต่อสุขภาพมากมาย แต่ด้วยเพราะบางสายพันธุ์อาจมีความหวานจัด จึงควรกินอย่างระมัดระวัง ยิ่งหากคุณมีโรคประจำตัวที่ต้องระวังน้ำตาลนะคะ เพราะจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงได้ ทั้งยังอาจทำให้อ้วนได้ด้วยนะถ้ากินมากเกินไปค่ะ สำหรับใครที่กังวลกลัวจะอ้วน ลองอ่านเรื่องแคลอรี่ในมะยงชิดเพิ่มเติมได้อีกนะคะ
ติดตามเราได้ที่ … เฟสบุ๊ค : เกร็ดสุขภาพ