X

รอยช้ำไม่รู้สาเหตุ เกิดจากอะไร ? ชวนเช็กตัวเอง ดูแลตัวเอง !

เพื่อสุขภาพ” ชุมชนสุขภาพ เรื่องราวตรงใจ ตอบโจทย์ทุกช่วงวัย รุ่นไหนก็รัก ♡

รอยช้ำไม่รู้สาเหตุ เกิดจากอะไร ? ชวนเช็กตัวเอง ดูแลตัวเอง !

บางครั้งเมื่อเราตื่นนอนในตอนเช้ามักจะพบกับรอยช้ำหลังตื่นนอนที่ไม่รู้สาเหตุว่ามาจากอะไร ซึ่งรอยฟกช้ำส่วนใหญ่มักจะไม่มีอาการเจ็บปวดและหายไปได้เอง แม้ว่ารอยช้ำต่างๆ นั้นจะหายเองได้จากการบรรเทาอาการที่บ้าน แต่หลายคนก็ยังไม่สบายใจเนื่องจากไม่รู้ว่าเกิดจากอะไรแน่ หรือบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพอะไรบ้าง และเพื่อรู้จักอาการนี้ให้ดีขึ้นว่า รอยช้ำไม่รู้สาเหตุ นั้นจริงๆ แล้วเกิดจากอะไรได้บ้าง ชวนเช็กตัวเองพร้อมรู้ถึงวิธีรักษาและดูแลตัวเองกันค่ะ

รอยช้ำไม่รู้สาเหตุ เกิดได้อย่างไร ? ชวนรู้พร้อมวิธีดูแลตัวเอง

รอยช้ำไม่รู้สาเหตุ, รอยช้ำหลังตื่นนอน

รอยฟกช้ำตามร่างกายนั้น มักจะเป็นรอยช้ำไม่รู้สาเหตุ แต่เกิดขึ้นจากหลอดเลือดขนาดเล็กใต้ผิวหนังฉีกขาดหรือแตก ส่วนใหญ่มักเกิดจากการกระแทก หรือเลือดไหลเข้าสู่เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังทำให้เกิดสีดำและสีน้ำเงิน ซึ่งปกติแล้วรอยฟกช้ำจะหายไปเองภายใน 2 ถึง 4 สัปดาห์ และมักเปลี่ยนสีเป็นสีม่วงดำ น้ำเงินแดง หรือเขียวอมเหลือง รอยฟกช้ำที่ขาที่มักเป็นรอยช้ำหลังตื่นนอนมักจะใช้เวลานานกว่าจะหายมากกว่ารอยฟกช้ำที่ใบหน้าหรือแขน ในขณะที่ความรุนแรงที่มักเกิดร่วมกับรอยฟกช้ำที่เกิดจากการบาดเจ็บ อาจหมายถึงปัญหาที่ร้ายแรงกว่านั้น เช่น การแพลง หรือกระดูกหักอย่างรุนแรง เพราะฉะนั้น เพื่อการรู้ถึงอาการของตนเอง รอยช้ำนั้นเกิดจากอะไรได้บ้าง มาดูกันค่ะ

  1. ออกกำลังกายหนัก

การออกกำลังกายหนักจะทำให้คุณมีอาการที่มากกว่าแค่การเจ็บกล้ามเนื้อได้ เพราะหากออกกำลังกายมากเกินไปอาจพบรอยช้ำไม่รู้สาเหตุขึ้นรอบๆ กล้ามเนื้อที่ได้รับผลกระทบได้ เพราะเมื่อคุณเกร็งกล้ามเนื้อ มันจะเป็นการทำร้ายเนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อที่อยู่ลึกใต้ผิวหนัง อาจทำให้หลอดเลือดแตกและทำให้เลือดไหลออกสู่บริเวณโดยรอบ และเลือดจะสะสมอยู่ใต้ผิวหนังและทำให้เกิดรอยฟกช้ำนั่นเอง

  1. ยาและอาหารเสริม

ยา เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ และคอร์ติโคสเตียรอยด์ จะลดความสามารถในการจับตัวเป็นลิ่มของเลือด ซึ่งอาจส่งผลให้เลือดไหลออกจากหลอดเลือดและสะสมอยู่ใต้ผิวหนัง รวมถึงอาหารเสริมบางชนิด เช่น น้ำมันปลา กระเทียม และโสม อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เลือดออกและมีรอยฟกช้ำในบางคนได้ จึงอาจเป็นหนึ่งในรอยช้ำไม่รู้สาเหตุที่พบได้บ่อยค่ะ

  1. โรคเลือดออกหรือลิ่มเลือดอุดตัน

ภาวะเลือดออกผิดปกติ เช่น ฮีโมฟีเลีย ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ อาจทำให้เกิดรอยฟกช้ำได้ ฮีโมฟีเลียเป็นภาวะทางพันธุกรรมที่คนไม่มีปัจจัยการแข็งตัวของเลือด จึงส่งผลให้เกิดรอยฟกช้ำมากเกินไป แต่เป็นภาวะที่พบได้ยากซึ่งส่วนใหญ่มักพบในผู้ชาย ในขณะผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ มีจำนวนเกล็ดเลือดต่ำ อาจเกิดรอยช้ำไม่รู้สาเหตุได้

  1. การติดเชื้อ
รอยช้ำไม่รู้สาเหตุ, รอยช้ำหลังตื่นนอน

การติดเชื้อที่ทำให้เกิดการสะสมของสารพิษในเลือดหรือเนื้อเยื่อ มักมีจุดเลือดเล็กๆ เป็นกลุ่มๆ คล้ายกับรอยเข็มในผิวหนัง หรือเป็นบริเวณสีม่วง หากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้เกิดรอยฟกช้ำที่ใหญ่ขึ้นได้ หรือที่เรียกว่าภาวะเลือดเป็นพิษ ซึ่งหากเกิดภาวะติดเชื้อนั้นจะต้องได้รับการรักษาฉุกเฉินทันที

  1. การขาดวิตามิน

การกินอาหารที่ไม่ดีอาจส่งผลต่อสุขภาพได้หลายประการ และการขาดวิตามินอาจทำให้เกิดรอยช้ำไม่รู้สาเหตุได้ ซึ่งมาจากการขาดวิตามินซีและวิตามินเค วิตามินซีมีประโยชน์หลากหลายและมีความสำคัญต่อสุขภาพ นอกจากนี้ยังกำจัดอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายที่อาจนำไปสู่การเสื่อมสภาพของเนื้อเยื่อและรอยฟกช้ำบนร่างกายได้ ในขณะเดียวกัน การขาดวิตามินเคก็มีส่วนทำให้เกิดภาวะเลือดออก พัฒนาการของกระดูกที่ไม่ดี และโรคหลอดเลือดหัวใจ เราสามารถป้องกันการขาดวิตามินได้โดยการเปลี่ยนแปลงอาหารเป็นเมนูอาหารที่มีวิตามิน หรือกินอาหารเสริม

  1. มะเร็ง

ผู้ที่เป็นมะเร็งมักมีเลือดออกและมีรอยฟกช้ำมากเกินไป ยิ่งหากคุณกำลังรับเคมีบำบัดหรือการฉายรังสี คุณอาจมีจำนวนเกล็ดเลือดต่ำ และหากไม่มีเกล็ดเลือดเพียงพอ ลิ่มเลือดของคุณจะแข็งตัวช้ากว่าปกติ ซึ่งหมายความว่าการกระแทกหรือการบาดเจ็บเล็กน้อยอาจทำให้เกิดรอยฟกช้ำขนาดใหญ่หรือเป็นก้อนได้ ในขณะเดียวกันรอยช้ำไม่รู้สาเหตุอาจเป็นสัญญาณของมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ เพราะเมื่อเซลล์เม็ดเลือดขาวตัวอ่อนเติบโตมากผิดปกติและไม่สามารถกลายเป็นเม็ดเลือดที่สมบูรณ์ได้ จะส่งผลให้เลือดออกง่ายผิดปกติ และเกิดรอยช้ำเลือดตามร่างกาย หากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้ร้ายแรงถึงชีวิตได้ และเพื่อระวังในเรื่องของมะเร็งต่างๆ มากขึ้น สามารถอ่านเพิ่มเติมในบทความระยะมะเร็งเต้านมได้เลยค่ะ

เกร็ดสุขภาพ : เราอาจมีรอยฟกช้ำหลังจากได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยได้ที่นอกจากการออกกำลังกาย เช่น เดินชนโต๊ะ ตู้ เตียง ซึ่งการช้ำประปรายมักจะไม่ทำให้เกิดความกังวล และจะหายได้เอง แต่การสังเกตดูอาการผิดปกติอื่นๆ อาจช่วยให้เรารู้ว่ารอยช้ำที่เกิดขึ้นนั้นมีสาเหตุอื่นแฝงหรือไม่

วิธีการรักษา

รอยช้ำไม่รู้สาเหตุ_, รอยช้ำหลังตื่นนอน

เมื่อเกิดรอยฟกช้ำตามร่างกาย สามารถทำการรักษาเบื้องต้นได้ด้วยการประคบเย็นที่รอยฟกช้ำภายใน 48 ชั่วโมงหลังจากได้รับบาดเจ็บ โดยประคบประมาณ 10-20 นาที และประคบซ้ำ 3 ครั้งต่อวัน เพื่อป้องกันหรือลดอาการบวม เมื่อรอยช้ำหายบวมแล้วให้ประคบร้อนต่อเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือด และเริ่มออกกำลังกายเบาๆ โดยใช้ความร้อนชื้นเพื่อช่วยฟื้นฟูและรักษา วิธีนี้จะช่วยให้รอยฟกช้ำต่างๆ หายไวขึ้น แต่ถ้าอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2 สัปดาห์ ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง และทำการรักษาตามโรคหรืออาการนั้นๆ ต่อไป เพราะรอยช้ำที่เกิดอาจจะมาจากเอ็นพลิก การแพลง หรือกระดูกหักได้เช่นกัน รวมถึงอาจเป็นสาเหตุของโรคบางชนิดดังที่กล่าวไปข้างต้นค่ะ

วิธีการดูแลตัวเอง

รอยช้ำไม่รู้สาเหตุ_, รอยช้ำหลังตื่นนอน

บ่อยครั้งเราอาจพบรอยช้ำหลังตื่นนอนได้ ซึ่งหากไม่มีอาการเจ็บปวด หรืออาการอื่นๆ ตามมา ก็สามารถใช้วิธีการรักษาเบื้องต้นด้วยการประคบเย็นได้ และห้ามสูบบุหรี่หรือใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบอื่นๆ เพราะการสูบบุหรี่ทำให้รอยช้ำหายช้าเพราะลดปริมาณเลือดและซ่อมแซมเนื้อเยื่อล่าช้า นอกจากนี้เรายังสามารถลดความเสี่ยงที่จะเกิดรอยฟกช้ำในอนาคตได้ ด้วยการกินอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่เหมาะสม อาจจะลองดูอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับอาหาร plant based food ในไทยก็ได้เช่นกันค่ะ

เกร็ดสุขภาพ : กรณีส่วนใหญ่ของรอยฟกช้ำนั้นไม่มีอะไรต้องกังวล แต่ถ้าคุณยังคงพบรอยฟกช้ำที่ผิดปกติหลังจากเปลี่ยนอาหารหรือลดการใช้ยาแก้ปวดแล้ว อาจจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ โดยเฉพาะหากมีอาการต่อไปนี้ ได้แก่ รอยช้ำเพิ่มขนาดตามเวลา รอยช้ำไม่เปลี่ยนแปลงภายในสองสัปดาห์ เลือดไหลและไม่หยุดง่ายๆ เกิดความเจ็บปวดรุนแรง มีเหงื่อออกตอนกลางคืนมาก และประจำเดือนมามากผิดปกติ หรือมีลิ่มเลือดมากในประจำเดือน หากมีอาการเหล่านี้ร่วมกับอาการฟกช้ำ ให้ไปพบแพทย์โดยเร็วนะคะ

รอยช้ำไม่รู้สาเหตุนั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน รวมถึงการใช้ยาบางชนิดและการมีอายุมากขึ้นมักเป็นสาเหตุของปัญหาด้วยเช่นกัน แต่หากไม่มีอาการอื่นๆ ร่วมด้วยก็ไม่ต้องกังวลใจ ยกเว้นว่ามีอาการควบคู่ไปกับรอยฟกช้ำตามร่างกาย อาจจำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อทำการตรวจเพิ่มเติมและหาสาเหตุต่อไปค่ะ

อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก : healthline.com, medicalnewstoday.com, vejthani.com

ติดตามเราได้ที่ … เฟสบุ๊ค : เกร็ดสุขภาพ

ติดต่อโฆษณา

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้การวิเคราะห์

    เราขออนุญาติใช้คุกกี้นี้เก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ เพื่อประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ที่ดีขึ้นให้กับคุณ

Save