“เพื่อสุขภาพ” ชุมชนสุขภาพ เรื่องราวตรงใจ ตอบโจทย์ทุกช่วงวัย รุ่นไหนก็รัก ♡
ฮีโมฟิเลี่ย อาการเป็นอย่างไร ?! สามารถดูแลรักษาตัวเองไรได้บ้าง ?
เชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยได้ยินผ่านหูมาบ้างแล้วกับโรคฮีโมฟิเลี่ย หรือ โรคเลือดไหลไม่หยุด แต่ก็อาจจะไม่ได้ให้ความสนใจ และอาจจะไม่ทราบถึงว่า ฮีโมฟิเลี่ย อาการเป็นอย่างไร มีสาเหตุจากอะไร สามารถดูแลรักษาตัวเองได้โดยวิธีไหนบ้าง วันนี้เราจึงเลือกหยิบหัวข้อนี้มา เพื่อให้ทุกคนได้ทำความรู้จักกับโรคอันตรายที่แสนจะใกล้ตัวโรคนี้
ฮีโมฟิเลี่ย คืออะไร
โรคฮีโมฟิเลี่ย หรือ โรคเลือดไหลไม่หยุด (Hemophilia) ถูกจัดประเภทให้เป็นหนึ่งในโรคที่สามารถสืบทอดทางพันธุกรรมได้ ซึ่งโรคนี้จะถูกส่งต่อเฉพาะโครโมโซม x เลยทำให้โรคฮีโมฟิเลี่ยนั้น ถูกพบมากกว่าในเพศชาย โดยที่โรคฮีโมฟิเลี่ย อาการคือจะทำให้ผู้ป่วยที่เกิดเลือดไหล จะทำให้เลือดไหลออกมานานกว่าคนทั่วไป และเลือดมีการแข็งตัวที่ช้ากว่าปกติ ในกลุ่มผู้ป่วยเป็นฮีโมฟิเลี่ยขั้นรุนแรง หากเกิดบาดแผลที่ทำให้เลือดออก อาจส่งผลทำให้ร่างกายขาดเลือด และอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้
เกร็ดสุขภาพ : โรคทางพันธุกรรม คือ โรคที่ก่อให้เกิดความผิดปกติขององค์ประกอบในระดับยีนและโครโมโซม ซึ่งอาจเป็นโรคที่ติดตัวของแม่หรือพ่อมา หรืออาจติดต่อมาทั้งสองทางก็เป็นได้ ดังนั้น การที่โรคฮีโมฟิเลี่ย สามารถสืบทอดให้รุ่นต่อไปผ่านทางโครโมโซม x ก็นับว่าเป็นโรคทางพันธุกรรมเช่นกัน และโรคทางพันธุกรรมยังมี โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคธาลัสซิเมีย และโรคอัลไซเมอร์อีกด้วย
สาเหตุของโรคฮีโมฟิเลี่ย
สาเหตุของโรคฮีโมฟิเลี่ย หรือ โรคเลือดไหลไม่หยุด เกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม โครโมโซม x ซึ่งทำให้ร่างกายเกิดการสร้างสารโปรตีนชนิดหนึ่งขึ้นมาน้อยกว่าปกติ โดยที่สารโปรตีนนั้นถูกเรียกว่า แฟคเตอร์ (Factor) และโปรตีนแฟคเตอร์นี้ จะเป็นตัวที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือด เมื่อเกิดแผลขึ้นนั่นเอง ดังนั้นเมื่อมีแฟคเตอร์อยู่ในเลือดในจำนวนที่น้อยกว่าปกติ เมื่อผู้ป่วยฮีโมฟิเลี่ยเกิดแผล จะทำให้มีอาการเลือดไหลออกนานกว่าปกติ และเลือดมีการแข็งตัวช้า
โรคฮีโมฟิเลี่ย อาการเป็นอย่างไร?
โรคฮีโมฟิเลี่ย อาการนั้นอาจถูกเข้าใจผิดว่า ถ้าหากเป็นโรคนี้แล้ว จะทำให้เลือดไหลออกมาในปริมาณที่เยอะกว่าคนปกติ แต่จริงๆ แล้ว ฮีโมฟิเลี่ย อาการคือ ทำให้เลือดหยุดไหลช้ากว่าปกติ และยังมีอาการอื่นๆ ได้แก่
- เกิดอาการเลือดออกภายในข้อต่อ โดยที่อาจจะก่อให้เกิดอาการบวม และปวดตึงที่ข้อต่อได้ และมักจะมีผลต่อหัวเข่าข้อเท้าและข้อศอกมากกว่าบริเวณอื่นๆ
- มีรอยฟอกช้ำตามผิวหนังซึ่งเกิดมาจากการที่มีเลือดไหลที่ผิวหนังหรือ กล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่ออ่อน จึงทำให้เกิดการสะสมของเลือดในบริเวณนั้นๆ
- เกิดอาการเลือดออกในช่องปากและเหงือก และเมื่อหลังจากสูญเสียฟัน จะทำให้หยุดเลือดได้ยาก
- มีเลือดออกในกล้ามเนื้ออย่างมากจนสามารถสังเกตได้ หลังจากการฉีดยาเข้าที่บริเวณกล้ามเนื้อ
นอกจากนี้ ยังมีอาการอื่นๆ ที่นอกเหนือจากการมีเลือดออกอีก ซึ่งนับว่าเป็นสัญญาณเตือนให้กับตัวของเราเองว่า เรามีโอกาสเป็นโรคฮีโมฟิเลี่ย หรือไม่ ดังนี้
- มีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง และอาจมีอาการปวดบริเวณต้นคอร่วมด้วย
- เกิดอาการปวดและบวมอย่างฉับพลัน ตรงบริเวณต่างๆ ของร่างกาย เช่น ข้อศอก หัวไหล หัวเข่า รวมไปถึงกล้ามเนื้อขาและแขนอีกด้วย
- มีอาการอ่อนเพลียเป็นอย่างมาก รู้สึกสายตาพร่ามัว มองเห็นภาพซ้อน และมีอาการอาเจียนร่วมด้วย
เกร็ดสุขภาพ : โรคฮีโมฟิเลี่ย อาการหนึ่งของโรคนี้คือ มีอาการปวดหัวอย่างรุนแรง แต่ทราบหรือไม่ว่า ลักษณะการปวดหัวที่แตกต่างกัน ก็อาจสามารถบ่งบอกได้ถึงโรคที่แตกต่างกันอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น เมื่อเกิดอาการปวดหัวด้านหน้าของศีรษะ ก็สามารถบ่งบอกได้ว่า อาจจะเกิดมาจากโรคไซนัสอักเสบหรือภูมิแพ้ และถ้าเกิดอาการปวดทั้งศีรษะ และอาจลามไปถึงคอและไหล อาการนี้ก็อาจบ่งบอกได้ว่าเกิดความเครียดสะสมนั่นเอง
การรักษา และป้องกันโรคฮีโมฟิเลี่ย
ในปัจจุบัน การรักษาโรคฮีโมฟิเลี่ย อาการต่างๆ นั้น ยังไม่วิธีที่ทำให้โรคนี้หายขาดได้ ส่วนใหญ่แล้วจึงเป็นการรักษาไปตามอาการ และรับการรักษาอย่างเป็นประจำ ถึงแม้ว่าจะไม่มีอาการใดๆ ก็ตาม ส่วนการป้องกันการเกิดอาการของโรคฮีโมฟิเลี่ย มีดังนี้
- ใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย หลีกเลี่ยงปัจจัยหรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่อาจนำไปสู่อุบัติเหตุได้
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีคุณสมบัติประเภทละลายลิ่มเลือด
- รักษาสุขภาพช่องฟันให้ดี ใช้แปรงฟันที่มีขนไม่แข็งจนเกิดไป ใช้ไหมขัดฟันอย่างเป็นประจำ เพื่อที่จะได้ลดโอกาสการเกิดฟันผุ หรือแผลในช่องปาก
- เลือกการออกกำลังกายเบาๆ เช่น การเดินหรือการว่ายน้ำบำบัด ควรหลีกเลี่ยงกีฬาที่เกิดการปะทะ เช่น ฟุตบอลหรือบาสเกตบอล และเมื่อต้องทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่ออุบัติเหตุ ควรใส่อุปกรณ์ป้องกันในทุกๆ ครั้งของการทำกิจกรรม เช่น หมวกกันน๊อกและสนับเข่า
- หากตรวจพบว่าตนเองเป็นโรคฮีโมฟิเลี่ย อาการต่างๆ เมื่อวางแผนที่จะมีบุตร ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพและคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อจะได้รู้ถึงมีความเสี่ยงต่อบุตรที่จะเป็นโรคฮีโมฟิเลี่ยมากน้อยเพียงใด
เพียงเท่านี้ ทุกคนก็ได้ทราบแล้วว่า โรคฮีโมฟิเลี่ย อาการเป็นอย่างไร สามารถดูแลรักษาตัวเองได้ด้วยวิธีไหนบ้าง ดังนั้นแล้ว พวกเราจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทุกคนจะห่างไกลจากโรคนี้ และมีทั้งสุขภาพ กายสุขภาพใจที่แข็งแรงกันนะครับ
อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก : si.mahidol.ac.th, chulalongkornhospital.go.th
ติดตามเราได้ที่ … เฟสบุ๊ค : เกร็ดสุขภาพ