“เพื่อสุขภาพ” ชุมชนสุขภาพ เรื่องราวตรงใจ ตอบโจทย์ทุกช่วงวัย รุ่นไหนก็รัก ♡
กาแฟดีแคฟ คือ อะไร ? ทางเลือกใหม่สำหรับคอกาแฟรักสุขภาพจริงหรือ ?!
กาแฟ ถือเป็นเครื่องดื่มโปรดของใครหลายคน และเป็นเครื่องดื่มที่มีคนบริโภคมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก การดื่มกาแฟอาจเป็นส่วนหนึ่งในกิจวัตรประจำวันของหลายๆ คน อย่างน้อยก็ในตอนเช้า หรือตอนบ่าย เพื่อเพิ่มความสดชื่นความกระปรี้กระเปร่าให้กับร่างกาย และบางคนก็หลงใหลในรสชาติของกาแฟจนเข้าขั้นติด แต่การดื่มกาแฟในปริมาณมากอาจส่งผลเสียต่อร่างกาย เพราะจะได้รับคาเฟอีนมากจนเกินไป ทั้งนี้ มีสิ่งที่เรียกว่า กาแฟดีแคฟ คือ กาแฟที่มีการสกัดคาเฟอีนออกไป ถือเป็นทางเลือกใหม่สำหรับคอกาแฟที่ยังรักการดื่มกาแฟอยู่ แต่อยากจำกัดปริมาณคาเฟอีน มาทำความรู้จักกับกาแฟดีแคฟกันให้มากขึ้น ผ่านบทความนี้ค่ะ
ชวนรู้ ! กาแฟดีแคฟ คือ อะไร ? ต่างจากกาแฟปกติยังไง ?
กาแฟดีแคฟ หรือ Decaf Coffee เป็นกาแฟที่ถูกสกัดเอาคาเฟอีนออกเกือบจนหมด โดยสกัดออกไปถึง 97 % หากเป็นกาแฟปกติในปริมาณ 180 มิลลิลิตร จะมีคาเฟอีนประมาณ 70 – 140 มิลลิกรัม แต่ถ้าเป็น Decaf Coffee จะมีคาเฟอีนอยู่เพียง 0 -7 มิลลิกรัมเท่านั้น ซึ่งอาจเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ชื่นชอบในกลิ่นและรสชาติของกาแฟ แต่ต้องการควบคุมปริมาณคาเฟอีน เช่น ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด ผู้ที่ไวต่อคาเฟอีน และผู้ที่ดื่มกาแฟเป็นจำนวนหลายแก้วต่อวัน แต่ไม่อยากได้รับคาเฟอีนมากเกินไป ก็สามารถดื่ม Decaf Coffee แทนได้
อย่างไรก็ตาม การสกัดคาเฟอีนออกไป จะทำให้กลิ่นหรือสีของกาแฟนั้นอาจเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย และนอกจากจะทำให้ปริมาณคาเฟอีนลดลงแล้ว ยังทำให้สารอาหารอื่นๆ ลดลงไปด้วยเช่นกัน แต่ก็ยังคงมีสารอาหารอยู่ เช่น วิตามินบี โพแทสเซียม แมกนีเซียม และสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคอัลไซเมอร์ รคมะเร็ง โรคเบาหวาน เป็นต้น
เกร็ดสุขภาพ : คาเฟอีน คือ สารกระตุ้นตามธรรมชาติชนิดหนึ่ง พบได้ในเมล็ดกาแฟ ใบชา ในผงโกโก้ หรือในเครื่องดื่มชูกำลัง น้ำอัดลม มีฤทธิ์กระตุ้นสมองและระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้รู้สึกตื่นตัว กะปรี้กะเปร่ามากขึ้น หายเหนื่อยล้า ไม่ง่วง ตื่นตัวและรู้สึกมีพลังงาน
กระบวนการในการทำกาแฟดีแคฟ คืออะไร ?
วิธีสกัดคาเฟอีนออกจากเมล็ดกาแฟ เพื่อให้เป็นกาแฟ Decaf สามารถทำได้ดังนี้
1. สกัดคาเฟอีนด้วยน้ำแบบสวิส (The swiss Water Method)
เป็นวิธีที่นำเอาเมล็ดกาแฟดิบไปแช่ในน้ำ และใช้ตัวกรองถ่านเป็นตัวดูดคาเฟอีนออกจาเมล็ดกาแฟ ทำให้เมล็ดกาแฟมีปริมาณคาเฟอีนลดลงโดยไม่ต้องใช้สารเคมีใดๆ
2. สกัดคาเฟอีนออกด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Dioxide Medthod)
คาร์บอนไดออกไซด์สามารถแยกสารประกอบต่างๆ ในเมล็ดกาแฟได้ รวมถึงคาเฟอีนด้วย
3. สกัดคาเฟอีนออกด้วยเมทิลคลอไรด์ (Methyl Chloride Method)
โดยการใช้เมทิลีนคลอไรด์เป็นตัวทำละลายเพื่อเอาคาเฟอีนออกจากเมล็ดกาแฟ อย่างไรก็ตาม การได้รับเมทิลีนคลอไรด์เข้าสู่ร่างกายมากเกินไปอาจทำให้เป็นพิษและทำให้ระบบประสาทส่วนกลางเสียหายได้ องค์การอาหารและยา (FDA) กำหนดว่าเมทิลีนคลอไรด์ปริมาณเล็กน้อยในกาแฟดีแคฟนั้นไม่ก่อให้เกิดอันตรายอย่างใด หากได้รับการตรวจสอบแล้วว่ามีสารตกค้างน้อยกว่า 0.001%
Decaf Coffee เป็นทางเลือกใหม่ของคนรักสุขภาพจริงหรือไม่ ?
ถึงแม้ว่ากาแฟดีแคฟ คือกาแฟที่ถูกสกัดเอาคาเฟอีนออกไป รวมถึงสารอาหารต่างๆ ส่วนหนึ่ง แต่ก็ยังคงมีแร่ธาตุทั้งโพแทสเซียม แมกนีเซียม มีวิตามินบี 3 และมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคได้บางชนิด ช่วยต่อต้านการอักเสบในร่างกาย รวมถึงอาจลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคมะเร็ง และโรคพาร์กินสันได้ (อ่านเพิ่มเติม โรคพาร์กินสัน อาการ)
ประโยชน์ของกาแฟดีแคฟ
- คนที่ไวต่อคาเฟอีน สามารถดื่มได้ เนื่องจากบางคนอาจชื่นชอบกลิ่นและรสของกาแฟ แต่เป็นคนที่ไวต่อคาเฟอีน ทำให้เกิดผลข้างเคียงจากการดื่มกาแฟ ทำให้ปวดหัว นอนไม่หลับ ใจสั่น ความดันโลหิตสูง ซึ่งการดื่ม Decaf Coffee จะช่วยลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงนี้ไป
- กาแฟดีแคฟ คือทางเลือกที่ช่วยลดการเกิดปัญหาสุขภาพที่มีสาเหตุมาจากคาเฟอีน เช่น นอนไม่หลับ ใจสั่น ปัสสาวะบ่อย ปวดท้อง เสียดท้อง มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้ ซึ่งในคนที่ชอบดื่มกาแฟ ยังสามารถดื่มกาแฟแบบสกัดเอาคาเฟอีนออกได้ โดยที่ไม่เกิดปัญหาด้านสุขภาพใดๆ
- ช่วยลดการสูญเสียน้ำออกจากร่างกาย เนื่องจากคาเฟอีนในกาแฟปกติจะทำให้ร่างกายเกิดการคายน้ำ สังเกตได้จากการที่เราดื่มกาแฟแล้วมักจะรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำบ่อยๆ ซึ่งถ้าร่างกายมีการคายน้ำมากเกินไป อาจมีอันตรายถึงชีวิตได้
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว ยังสามารถดื่มกาแฟแบบ Decaf ได้ คาเฟอีนที่มีอยู่ในกาแฟปกติอาจทำให้อาการของโรคที่เป็นอยู่กำเริบรุนแรงขึ้น เช่น ไมเกรน ปวดหัวเรื้อรัง โรคกรดไหลย้อน โรคความดันโลหิตสูง โรคกระเพาะอาหาร เป็นต้น แต่การดื่มกาแฟดีแคฟ คือทางเลือกที่จะไม่ทำให้โรคต่างๆ เหล่านี้กำเริบรุนแรงขึ้น
- ลดความเสี่ยงในผู้ที่กำลังใช้ยารักษาโรค ซึ่งคาเฟอีนและยารักษาโรคบางชนิดอาจทำปฏิกิริยาต่อกัน และทำให้เกิดผลข้างเคียงหรือส่งผลให้ยาไม่สามารถออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มที่ เช่น ยาที่ออกฤทธิ์เกี่ยวกับการทำงานของระบบประสาท กลุ่มยาปฏิชีวนะ กลุ่มยาต้านการแข็งตัวของหลอดเลือด เป็นต้น
เกร็ดสุขภาพ : ในคนปกติไม่ควรได้รับคาเฟอีนเกินวันละ 400 มิลลิกรัม ซึ่งเทียบเท่ากับการดื่มกาแฟวันละ 4 แก้ว ถ้าหากร่างกายได้รับคาเฟอีนมากเกินกว่าปริมาณที่เหมาะสมจะทำให้ความดันโลหิตสูง ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้มีอาการกระสับกระส่าย วิตกกังวลได้
ข้อเสียของ กาแฟดีแคฟ คือ อะไรบ้าง ?
จากข้างต้นจะเห็นว่า วิธีสกัดคาเฟอีนออกจากเมล็ดกาแฟในบางวิธี มีการใช้สารเคมีอย่างเมทิลีนคลอไรด์ เป็นตัวสกัด ซึ่งถ้าหากรับเข้าสู่ร่างกายเป็นจำนวนมาก อาจส่งผลกระทบต่อระบบประสาทอย่างรุนแรงได้ และแม้จะได้รับการกำหนดว่าปลอดภัยจากองค์การอาหารและยาแล้วก็ตาม ทั้งนี้ หากใครที่ต้องการหลีกเลี่ยงสารเคมีชนิดนี้โดยสิ้นเชิง ให้ตรวจสอบฉลากของกาแฟดีแคฟว่าใช้วิธีสกัดแบบใด และหลีกเลี่ยงกาแฟที่สกัดคาเฟอีนออกโดยวิธีเมทิลคลอไรด์ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงการเกิดอันตรายจากสารเคมีได้
กาแฟเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มยอดนิยมของใครหลายคน อีกทั้งยังได้รับการวิจัยมาแล้วว่ามีประโยชน์ต่อร่างกาย สำหรับคนที่ไม่ไวต่อคาเฟอีน หากดื่มในปริมาณที่เหมาะสม คือ 1 – 2 แก้วต่อวัน โดยไม่ควรเกิน 4 แก้วต่อวัน และดื่มกาแฟดำไม่ใส่นม น้ำตาล ก็จะมีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย หรือจะเลือกใช้สารให้ความหวานอย่างหญ้าหวานก็ได้ และถ้าใครที่ไวต่อคาเฟอีน ดื่มกาแฟปกติแล้วใจสั่น ปวดหัว หัวใจเต้นเร็ว แต่ยังอยากลิ้มรสของกาแฟอยู่ กาแฟดีแคฟ คืออีกทางเลือกหนึ่งที่จะทำให้เราไม่ต้องจำใจลาขาดจากกาแฟ และยังสามารถเพลิดเพลินกับรสชาติที่ชื่นชอบได้โดยไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพค่ะ
อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก : theptarin.com, beannbeancoffee.com, healthline.com
Featured Image Credit : pexels.com/Burst
ติดตามเราได้ที่ … เฟสบุ๊ค : เกร็ดสุขภาพ