“เพื่อสุขภาพ” ชุมชนสุขภาพ เรื่องราวตรงใจ ตอบโจทย์ทุกช่วงวัย รุ่นไหนก็รัก ♡
ริดสีดวง คือ ? เกิดจากอะไร ? หายเองได้มั้ย ? ชวนใส่ใจการกิน และการขับถ่ายกัน !
ปัญหาเรื่องระบบการขับถ่ายนั้น เรียกได้ว่าเป็นปัญหาใหญ่สำหรับทุกคน โดยเฉพาะในผู้ที่มีอาการท้องผูกอยู่บ่อยๆ หรือมีปัญหาถ่ายไม่ออก นอกจากจะทำให้ไม่สบายท้องและมีอาการท้องอืดท้องเฟ้อแล้ว ยังส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมของเรา ทำให้ผิวพรรณไม่ผ่องใส ดูโทรม อ่อนล้า เนื่องจากไม่มีการขับของเสียออกจากร่างกาย และอาการท้องผูกบ่อยๆ นั้น ยังนำไปสู่โรคริดสีดวงได้อีกด้วย สำหรับบางคนอาจเคยได้ยินชื่อโรคริดสีดวงมาบ้าง แต่ไม่แน่ใจว่า ริดสีดวง คือ อะไรกันแน่ เกิดจากสาเหตุใดได้บ้าง รักษาได้อย่างไร ป้องกันได้หรือไม่ มาทำความรู้จักให้มากขึ้นกันเลยค่ะ
ริดสีดวง คือ อะไร อันตรายหรือไม่ ?
ริดสีดวงทวารหนัก หรือโรคริดสีดวง คือ การโป่งพองของกลุ่มเส้นเลือดดำที่อยู่ใต้ผิวของเยื่อบุผนังบริเวณทวารหนัก โดยเส้นเลือดดำที่โป่งพองนี้ จะดันให้ผิวของเยื่อบุผนังบริเวณทวารหนักโป่งพองขึ้นมาด้วย ถ้าเส้นเลือดไม่โป่งพองมาก จะไม่มีอาการใดๆ แต่ถ้ามีการโป่งพองมาก จะทำให้เห็นเป็นก้อนนูนขึ้นมาจากผิว ซึ่งเรียกว่าหัวของริดสีดวงทวารนั่นเองค่ะ อาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัว มีอาการคัน ปวด และบางครั้งมีเลือดออก มักเกิดจากการเบ่งอุจจาระมากเกินไป มีอาการท้องผูกหรือท้องร่วงเรื้อรัง โรคอ้วน และการใช้ชีวิตแบบนั่งนานๆ ไม่ค่อยมีการเคลื่อนไหวก็ทำให้เกิดการกดทับได้ โดยอาการที่ทำให้คาดเดาได้ว่าเป็นโรคริดสีดวง คือ มีเลือดสีแดงสดออกมาเวลาเบ่งถ่ายอุจจาระ หรือมีคราบเลือดสดติดอยู่บนกระดาษชำระเวลาเช็ด หรือมีหัวริดสีดวงโผล่ออกมาทางรูทวารหนัก
อาการของโรคริดสีดวง เป็นแบบไหน ?
ลักษณะอาการและความรุนแรงของโรคริดสีดวงทวารหนัก สามารถแบ่งออกเป็น 4 ระดับ ดังนี้
- ระดับที่ 1 : มีเลือดออกให้เห็นโดยที่ไม่มีอาการเจ็บปวดและไม่มีหัวริดสีดวงโผล่ออกมาจากรูทวารหนักขณะถ่ายอุจจาระ
- ระดับที่ 2 มีหัวริดสีดวงโผล่ออกมาทางทวารหนัก แต่ยุบหายไปเมื่อถ่ายอุจจาระเสร็จ
- ระดับที่ 3 : เมื่อถ่ายเสร็จแล้วหัวริดสีดวงยังคงจุกอยู่บริเวณทวารหนัก ต้องใช้นิ้วมือดันจึงจะหายเข้าไป
- ระดับที่ 4 : หัวริดสีดวงไม่ยอมผลุบหายเข้าไปแม้จะใช้นิ้วดัน ทำให้รู้สึกรำคาญ มีอาการระคายเคือง หรือมีอาการเจ็บปวดเกิดขึ้น
เกร็ดสุขภาพ : โรคริดสีดวงทวารอาจมีอาการคล้ายกับโรคอื่นๆ ทั้งโรคที่ร้ายแรงและไม่ร้ายแรง เช่น โรคติดเชื้อรา โรคติดเชื้อแบคทีเรีย หรือโรคมะเร็งทวารหนัก โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ดังนั้น เมื่อมีอาการดังกล่าว ควรมาพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยโดยเร็วและทำการรักษาอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการเจ็บ ปวด และส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ในบางรายอาจจะต้องทำการผ่าตัดเพื่อให้ก้อนริดสีดวงหายไป
สาเหตุของริดสีดวง คืออะไรบ้าง ?
โรคริดสีดวงทวาร มีสาเหตุอยู่หลายประการด้วยกัน ดังนี้
- การเบ่งแรงๆ ระหว่างการถ่ายอุจจาระ
- ติดนิสัยใช้เวลานั่งถ่ายอุจจาระนาน เช่น เล่นโทรศัพท์มือถือขณะเข้าห้องน้ำไปด้วย
- มีอาการท้องผูกหรือท้องร่วงเรื้อรัง
- การนั่งหรือยืนเป็นเวลานาน
- มีภาวะโรคอ้วนหรือมีน้ำหนักเกิน
- การตั้งครรภ์และการคลอดบุตรที่ทำให้มีแรงเบ่ง
- อายุมากขึ้น เกิดความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ทำให้ระบบขับถ่ายมีปัญหาได้
- การกินอาหารที่มีกากใยน้อย ทำให้ท้องผูกบ่อยและเกิดริดสีดวงได้ (อ่านเพิ่มเติม ท้องผูกต้องกินอะไร)
- การดื่มน้ำน้อย ดื่มน้ำไม่เพียงพอในแต่ละวัน
- การยกของหนักหรือการออกกำลังกายที่ต้องใช้กำลังมาก
ริดสีดวง หายเองได้ไหม ?
สำหรับบางคนอาจจะเกิดข้อสงสัยขึ้นมาว่า ริดสีดวงสามารถหายเองได้ไหม เพราะว่ามีความเขินอาย ไม่กล้าไปพบแพทย์ บางคนก็อาจจะซื้อยารักษาริดสีดวงทวารมาใช้เอง ซึ่งก็มีทั้งยาทาและยากิน ทั้งนี้ ในบางกรณีโรคริดสีดวงทวารสามารถหายไปได้เอง โดยเฉพาะริดสีดวงภายนอกซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นแล้วหายเองได้ แต่ถ้าอาการไม่ดีขึ้นก็ต้องรักษาโดยการผ่าตัดเพื่อเอาลิ่มเลือดออก อย่างไรก็ตาม เมื่อมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นและสงสัยว่าอาจจะเป็นริดสีดวง ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเองนะคะ
ริดสีดวง รักษาได้อย่างไรบ้าง
- การรักษาทางการแพทย์ : การรักษาริดสีดวงทางการแพทย์สามารถทำได้หลากหลายวิธี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและอาการของผู้ป่วย ในกรณีที่ริดสีดวงไม่รุนแรง แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยใช้ยาทาภายนอกหรือยาเหน็บ ร่วมกับยากิน หรือแนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่างๆ ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคริดสีดวง ในกรณีที่ริดสีดวงมีอาการรุนแรงขึ้น แพทย์อาจต้องใช้วิธีการรักษาทางการแพทย์เช่น การใช้ยางรัด การผ่าตัด การฉีดยา การรักษาด้วยเลเซอร์ การเย็บหลอดเลือดริดสีดวง เป็นต้น แต่วิธีการรักษาดังกล่าวจะเป็นวิธีการรักษาที่มีความเสี่ยงสูง และต้องพิจารณาให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจใช้วิธีการรักษาดังกล่าว
- การดูแลรักษาด้วยตัวเอง : ริดสีดวง หายเองได้ไหม ? ในกรณีที่มีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นก็อาจช่วยให้อาการทุเลาลงได้ วิธีรักษาริดสีดวง คือ การใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นประคบจะช่วยลดอาการบวมและแสบร้อนได้ หรือนั่งแช่ในน้ำอุ่นก็อาจจะทำให้ริดสีดวงยุบได้ ในกรณีที่มีอาการปวด สามารถกินยาแก้ปวดเพื่อคลายความปวดได้ นอกจากนี้ การดูแลตัวเองด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น การดื่มน้ำเยอะๆ การกินอาหารที่มีกากใยมากขึ้น ไม่เบ่งอุจจาระแรงๆ ขณะถ่าย ไม่นั่งนานๆ โดยที่ไม่เปลี่ยนอิริยาบถ และเคลื่อนไหวร่างกายเป็นประจำ เป็นต้น ก็สามารถช่วยใช้อาการริดสีดวงดีขึ้นได้
ริดสีดวง ป้องกันได้หรือไม่ ?
ริดสีดวง คือโรคที่สามารถป้องกันได้ด้วยการดูแลตัวเองและใส่ใจในสุขภาพทางเดินอาหารและระบบขับถ่าย ร่วมกับการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมบางอย่างที่อาจเป็นสาเหตุของการเกิดโรคริดสีดวงก็จะช่วยป้องกันได้ ซึ่งทำได้ดังนี้ค่ะ
- ตื่นนอนเป็นเวลา เข้านอนเป็นเวลา กินข้าวเป็นเวลา เพื่อให้ระบบขับถ่ายของร่างกายทำงานเป็นปกติ จะทำให้นาฬิกาชีวิตของเราไม่รวนและขับถ่ายเป็นกิจวัตรประจำวัน
- การเลือกกินอาหารที่มีกากใยสูง เช่นผักและผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง จะช่วยให้อุจจาระของเรานิ่มขึ้นและขับถ่ายได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องใช้แรงแบ่งมาก และช่วยลดการเกิดท้องผูก
- การดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย โดยผู้หญิงควรดื่มน้ำวันละ 2.7 ลิตร และผู้ชายควรดื่มน้ำมันละ 3.7 ลิตร เพื่อการมีสุขภาพที่ดีโดยรวม
- ไม่ควรเบ่งอุจจาระแรงจนเกินไป และไม่ควรเข้าห้องน้ำนานหรือติดนิสัยทำสิ่งอื่นระหว่างนั่งถ่าย เช่น เล่นโทรศัพท์มือถือ อ่านหนังสือ เป็นต้น
- เคลื่อนไหวอิริยาบถบ่อยๆ ไม่นั่งนานๆ หรือยืนนานๆ จนเกินไป ร่วมกับออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ระบบต่างๆ ภายในร่างกายทำงานเป็นปกติ
เกร็ดสุขภาพ : การดื่มสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ที่มีกระบวนการผลิตจากการหมักของข้าวขาว น้ำตาลทรายขาว ยีสต์ แป้งขัดสี เป็นอาหารที่ร่างกายย่อยลำบาก จึงอาจทำให้ขับถ่ายยากขึ้นด้วย ดังนั้น การหลีกเลี่ยงการดื่มสุราและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อาจช่วยให้ลดความเสี่ยงในการเกิดริดสีดวงทวารได้เช่นกัน
โรคริดสีดวงทวารเป็นโรคที่สามารถเป็นกันได้ทุกคน ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคได้ ริดสีดวง หายเองได้ไหม ? อาจหายเองได้ถ้าหากอาการไม่หนักมาก โดยสามารถรักษาผ่านการปฐมพยาบาลเบื้องต้นอย่างการประคบเย็นลดบวม การกินยาแก้ปวด การใช้ยาทา ยาเหน็บ หรือการกินยาที่ทำให้ริดสีดวงยุบได้ ร่วมกับการปรับพฤติกรรมต่างๆ อย่างไรก็ตาม หากอาการยังไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์เพื่อที่จะได้ทำการรักษาอย่างตรงจุดและหายได้อย่างถาวรนะคะ
อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก : vejthani.com, phyathai.com, bumrungrad.com, nhs.uk
Featured Image Credit : freepik.com/Rattanakun thongb
ติดตามเราได้ที่ … เฟสบุ๊ค : เกร็ดสุขภาพ