“เพื่อสุขภาพ” ชุมชนสุขภาพ เรื่องราวตรงใจ ตอบโจทย์ทุกช่วงวัย รุ่นไหนก็รัก ♡
โรคกลัวฝน คืออะไรกันแน่? แค่ไม่ชอบฝน หรือใจเรากำลังร้องส่งสัญญาณบางอย่างอยู่ !
มีใครชอบฤดูฝนกันบ้างไหมคะ ? บางคนก็ชอบเพราะว่าอากาศเย็นสบายดี ไม่ร้อนอบอ้าว ต้นไม้ใบหญ้าก็สดชื่นเขียวขจี แต่บางคนก็ไม่ชอบเพราะเดินทางลำบาก ไปไหนมาไหนก็ไม่สะดวก ทั้งยังทำให้เป็นหวัด ไม่สบายบ่อยๆ ถ้าตกหนักมากๆ ก็น้ำท่วม แล้วก็ต้องระมัดระวังโรคที่มากับน้ำท่วมอีกต่างหาก แต่รู้หรือไม่ว่า มีคนที่กลัวฝนจนถึงขั้นเป็นอาการ Phobia หรือเป็นโรคกลัวฝนเลยทีเดียว ปกติเราเคยได้ยินแต่คำว่าเจ้าสาวกลัวฝน แล้ว โรคกลัวฝน อาการ เป็นยังไง ? เวลาฝนตกแล้วจะต้องรับมือแบบไหน ในบทความนี้ เพื่อสุขภาพ มีคำตอบมาฝากกันแล้วค่ะ
รู้จักโรคกลัวฝน อาการทางใจที่หลายคนไม่รู้ตัว มาเข้าใจวิธีดูแลตัวเองกัน !

ฝนตกอาจเป็นเรื่องธรรมชาติที่หลายคนคุ้นชิน บ้างก็รู้สึกผ่อนคลายเมื่อได้ยินเสียงฝน แต่สำหรับบางคน แค่เห็นท้องฟ้ามืดครึ้ม หรือได้ยินเสียงฟ้าร้องเบาๆ ก็อาจทำให้ใจเต้นแรง มือสั่น หรือรู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมาทันที อาการเหล่านี้อาจไม่ใช่แค่ “ไม่ชอบฝน” ธรรมดาๆ แต่อาจเป็นสัญญาณของภาวะที่เรียกว่า “โรคกลัวฝน” ซึ่งเป็นหนึ่งในอาการของโรควิตกกังวลที่ยังไม่ค่อยมีใครพูดถึงมากนัก เราจะพาไปรู้จักโรคกลัวฝนให้มากขึ้น ตั้งแต่สาเหตุ อาการ ไปจนถึงแนวทางดูแลตัวเองและการรักษา เพื่อให้เข้าใจว่า “ความกลัว” ที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้แปลว่าอ่อนแอ แต่คือสิ่งที่เราสามารถเรียนรู้ รับฟัง และดูแลมันอย่างอ่อนโยนได้เหมือนการกางร่มใจให้ตัวเองในวันที่ฝนตก มาทำความเข้าใจโรคนี้ไปพร้อมๆ กันค่ะ
โรคกลัวฝน คืออะไร ?
โรคกลัวฝน หรือ Pluviophobia เป็นกลุ่มอาการ Phobia ชนิดหนึ่ง ที่ไม่ใช่โรคติดต่อ ไม่ใช่โรคทางพันธุกรรม และไม่ใช่โรคที่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคไต ฯลฯ แต่โรคกลัวฝนถือเป็นโรคทางจิตเวชที่เกิดจากความผิดปกติทางจิต ทำให้เกิดอาการหวาดกลัวขึ้นเมื่อเกิดฝนตกฟ้าร้อง ส่วนสาเหตุของโรคกลัวฝนนั้นปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดอาจจะเกิดจากเหตุการณ์ฝังใจในอดีตที่ไม่ดีเกี่ยวกับฝนหรือวันฝนตก เช่น เคยตกใจกลัวเวลาฝนตกฟ้าร้องเมื่อตอนเป็นเด็ก หรือเวลาฝนตกไฟเกิดดับจนร้องไห้ตกใจกลัว นอกจากนี้ อาจเกิดจากการมีประสบการณ์ไม่ดีเกี่ยวกับเหตุการณ์ฝนตก เช่น เคยประสบกับความสูญเสียในเหตุการณ์ฝนตกหนักจนน้ำท่วมดินถล่ม หรือคนรัก คนในครอบครัวเกิดอุบัติเหตุเพราะฝนตก ก็มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคเกลียดกลัวฝนได้
ทั้งนี้ คนที่มีอาการกลัวฝนมักจะมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคกลัวฟ้าร้อง หรือ Ombrophobia ร่วมด้วย เป็นกลุ่มอาการกลัวพายุฝนกระหน่ำที่มักจะมาพร้อมกับลมกรรโชกแรง ฟ้าร้องฟ้าผ่า ซึ่งจะไปกระตุ้นให้เกิดอาการตกใจกลัวได้ คนกลุ่มนี้ถือว่าไม่ได้กลัวฝนโดยตรง แต่กลัวสิ่งที่มาพร้อมกับฝนนั่นเองค่ะ หากเวลาฝนตกปรอยๆ หรือฝนตกไม่หนักมากอาจจะแค่กังวลใจแต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นที่ตกใจกลัวจนตื่นตระหนกหรือมีอาการแพนิค ยังไม่ถึงขั้นที่เห็นฝนตกไม่ได้เลย เหมือนกับคนที่เป็นโรคกลัวฝน อาการจะแสดงออกอย่างชัดเจนเวลาที่ฝนกำลังจะตก
โรคกลัวฝน อาการเป็นยังไง ? ชวนสังเกตตัวเอง และคนรอบตัว
เมื่อเวลาฝนตกหรือรู้สึกว่าฝนกำลังตั้งเค้าทำท่าจะตกอยู่ร่อมร่อ คนเป็นโรคกลัวฝน อาการที่สามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนคือ
- เกิดความรู้สึกวิตกกังวล
- รู้สึกว่าตนเองกำลังจะไม่ปลอดภัย
- บางรายถึงขั้นแพนิคใจสั่น หัวใจเต้นแรง
- มือไม้สั่น มีเหงื่อออกตามฝ่ามือฝ่าเท้า
- บางคนมีอาการหายใจเร็ว หัวใจเต้นเร็ว หอบเหนื่อยกว่าปกติ
- มีอาการท้องไส้ปั่นป่วน
- ปวดหัววิงเวียนศีรษะคล้ายจะเป็นลม
- บางคนอาจมีอาการอารมณ์แปรปรวน รู้สึกอารมณ์ดิ่งเศร้าหมดความหวังยามฝนตกคล้ายกลุ่มอาการโรคซึมเศร้าตามฤดูกาล
คนที่เป็นโรคกลัวฝน อาการเหล่านี้จะรุนแรงขึ้นเมื่อฝนตกร่วมกับมีฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า และลมกรรโชกแรง ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลจะเป็นมากเป็นน้อยก็แตกต่างกันไปค่ะ นอกจากจะมีอาการที่สามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนแล้ว ในบางคนยังรู้สึกว่าตัวเองแตกต่างจากคนอื่น รู้สึกไม่ชอบตัวเอง ละอายและโทษตัวเอง รู้สึกว่าควบคุมตัวเองไม่ได้ และไม่เพียงแค่ผู้ใหญ่เท่านั้นที่จะประสบกับโรคกลัวฝนโรคกลัวฟ้าร้อง ในเด็กเล็กๆ ก็เป็นได้เหมือนกัน โดยโรคกลัวฝน อาการที่มักพบในเด็กนั้นจะแตกต่างกับผู้ใหญ่ คือ เด็กจะร้องไห้งอแงไม่หยุด เด็กบางคนอาจจะนอนดิ้นอยู่ไม่นิ่ง รู้สึกไม่สบายตัว มีอาการสะดุ้งตกใจเมื่อเห็นแสงฟ้าแลบและเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า เป็นต้น
เกร็ดสุขภาพ : วิธีปกป้องลูกน้อยจากอาการกลัวฝนนั้น ทำได้โดยการไม่ปล่อยให้เด็กๆ อยู่คนเดียวเมื่อมีฝนตกฟ้าคะนอง คุณพ่อคุณแม่ควรปิดหน้าต่างไม่ให้ลูกเห็นแสงฟ้าแลบฟ้าผ่า หรืออยู่ในห้องเก็บเสียง เพื่อไม่ให้ลูกได้ยินเสียงฝนตกฟ้าร้อง และถ้าเป็นเด็กทารก ควรนำผ้ามาห่อตัวเพื่อให้ลูกรู้สึกปลอดภัย ที่สำคัญควรอุ้มลูกเอาไว้แนบอก เพื่อให้ลูกรู้สึกปลอดภัยและรู้สึกอุ่นใจ ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ซึ่งจะช่วยให้ลูกหยุดร้องไห้ได้

สาเหตุของโรคกลัวฝน (Pluviophobia) มีอะไรบ้าง ?
แม้ฝนจะเป็นสิ่งธรรมชาติที่หลายคนมองว่าสดชื่นหรือโรแมนติก แต่สำหรับบางคนแล้ว ฝนกลับเป็นตัวกระตุ้นความรู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างรุนแรง จนกลายเป็นความกลัวที่ฝังลึกในใจ การทำความเข้าใจถึง “สาเหตุ” ของโรคกลัวฝน จึงเป็นก้าวแรกของการดูแลตัวเองอย่างอ่อนโยนและไม่ตัดสินตนเองเกินไป สาเหตุของโรคกลัวฝนสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายปัจจัย ลองมาดูกันต่อนะคะ
1. ประสบการณ์เชิงลบในอดีต (Traumatic Experience)
เป็นต้นว่า เคยติดอยู่กลางพายุฝน เคยประสบอุบัติเหตุในวันที่ฝนตก หรือเคยตกอยู่ในสถานการณ์ที่รู้สึกไม่ปลอดภัยช่วงฝนตก ประสบการณ์เหล่านี้อาจสร้าง “ความเชื่อ” ในใจว่า ฝน คืออันตราย จนสมองตอบสนองด้วยความกลัวทุกครั้งที่ฝนตกอีกครั้ง
2. การเลียนแบบหรือซึมซับจากคนใกล้ตัว (Modeling Behavior)
เด็กที่เติบโตมากับพ่อแม่หรือผู้ดูแลที่กลัวฝน ฟ้าร้อง หรือภัยธรรมชาติ อาจซึมซับความกลัวเหล่านี้โดยไม่รู้ตัว และพัฒนาเป็นความกลัวฝนเมื่อโตขึ้น แม้จะไม่เคยเผชิญเหตุการณ์เลวร้ายด้วยตนเองเลยก็ตาม
3. การรับข้อมูลเชิงลบซ้ำๆ (Media Exposure)
การรับชมข่าวเกี่ยวกับน้ำท่วม ภัยพิบัติ หรือเหตุการณ์เลวร้ายที่เกี่ยวข้องกับฝนบ่อยครั้ง อาจทำให้สมองจดจำภาพฝนในมุมลบ และเกิดความวิตกกังวลสะสมขึ้นจนกลายเป็นความกลัวจริงจัง
4. ความไวต่อสิ่งเร้ารอบตัว (Sensory Sensitivity)
บางคนมีระบบประสาทที่ไวต่อเสียงหรือการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศ เช่น เสียงฟ้าร้อง เสียงฝนกระทบหลังคา หรืออากาศเย็นชื้น สิ่งเหล่านี้อาจกระตุ้นระบบประสาทให้รู้สึกตื่นตระหนกง่ายกว่าคนทั่วไป
5. มีภาวะวิตกกังวลหรือปัญหาสุขภาพจิตอื่นร่วมด้วย
ในบางกรณี ผู้ที่มีโรควิตกกังวลทั่วไป (Generalized Anxiety Disorder), โรคตื่นตระหนก (Panic Disorder) หรือภาวะซึมเศร้า อาจตอบสนองต่อฝนอย่างรุนแรงกว่าปกติ และมีแนวโน้มพัฒนาเป็น Pluviophobia ได้ง่ายกว่าคนทั่วไป
โรคกลัวฝนส่งผลต่อชีวิตอย่างไร ?
แม้โรคกลัวฝนอาจฟังดูไม่รุนแรงในมุมของคนทั่วไป แต่สำหรับผู้ที่เผชิญกับมันจริงๆ อาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก เช่น ไม่กล้าไปทำงานหากท้องฟ้ามีเมฆมาก หลีกเลี่ยงการเดินทางไกลช่วงหน้าฝน หรือรู้สึกเครียดซึมเศร้าเพียงเพราะต้องใช้ชีวิตในฤดูฝนตลอดหลายเดือน สิ่งเหล่านี้อาจส่งผลต่อสุขภาพจิต ความสัมพันธ์ และประสิทธิภาพในการทำงานได้

คนที่เป็นโรคกลัวฝน ควรรับมือกับช่วงเวลาที่ฝนตกอย่างไรดี ?
เป็นที่ทราบกันดีว่า เรื่องของสภาพอากาศนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ห้ามกันได้ ไม่มีใครสามารถห้ามไม่ให้ฝนตกฟ้าร้องได้ แล้วคนที่เป็นโรคกลัวฝนจะรับมือกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้อย่างไรดี ? คนที่เป็นโรคกลัวฝน สามารถรับมือกับช่วงเวลาฝนตกได้ดังนี้ค่ะ
- อยู่ในห้องปิดหรืออยู่ในห้องเก็บเสียง เมื่อฝนตกและเป็นคนที่กลัวเสียงฝน กลัวเสียงฟ้าร้อง ไม่ชอบเห็นฝนตก ให้ปิดหน้าต่าง ปิดบ้านให้สนิท อยู่ในห้องที่เก็บเสียง หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ตัวเองรู้สึกปลอดภัย ก็จะช่วยบรรเทาอาการวิตกกังวลเมื่อฝนตกได้
- อย่าอยู่คนเดียวในช่วงที่ฝนตก อาจชวนเพื่อนให้มาอยู่ด้วยกันในช่วงที่ฝนตก หรือไปอยู่กับเพื่อน จะช่วยให้รู้สึกอุ่นใจ แล้วก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นได้
- ในบางคนที่กลัวฝนเพราะมีความทรงจำไม่ดีเกี่ยวกับฝน อาจหากิจกรรมอื่นๆ ทำในเวลาที่ฝในตกเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ เช่น ดูหนัง เล่นเกม เล่นกับสัตว์เลี้ยง คุยโทรศัพท์กับคนรัก ฯลฯ เพื่อไม่ให้หมกมุ่นอยู่กับช่วงเวลาฝนตกที่ทำให้เกิดความรู้สึกแย่ๆ ได้
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เงียบๆ เพระจะทำให้ได้ยินเสียงฝนตกชัดเจน และอาจเพิ่มความรู้สึกวิตกกังวลหรือมีอาการแพนิคได้ อาจเปิดเพลงฟังไปด้วย หรือไปอยู่ในสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน เช่น ในห้างสรรพสินค้า ในร้านอาหาร ก็จะช่วยให้ตัวเองผ่อนคลายมากขึ้นและไม่มุ่งความสนใจไปที่ฝน เพื่อให้รู้สึกกลัวและวิตกกังวลน้อยลง
- พูดคุยกับนักจิตวิทยาหรือนักจิตบำบัด ในบางรายที่กลัวฝนอย่างรุนแรงจนไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ การพูดคุยกับนักจิตวิทยาหรือนักจิตบำบัดจะช่วยในการปรับเปลี่ยนความคิด ทัศนคติ และพฤติกรรมที่มีต่ออาการกลัวฝนได้ และอาจช่วยให้เราใช้ชีวิตประจำวันได้ง่ายขึ้นมากค่ะ
เกร็ดสุขภาพ : คนที่เป็นโรคกลัวฝน อาการอื่นๆ ที่เกิดขึ้นคือ อาจมีพฤติกรรมย้ำคิดย้ำทำร่วมด้วย โดยมักจะหมกหมุ่นกับการสังเกตท้องฟ้าและบรรยากาศอยู่เสมอ อีกทั้งยังต้องนั่งเช็กพยากรณ์อากาศกันแบบรายชั่วโมง เพื่อหลีกเลี่ยงการออกจากบ้านในวันที่ฝนตก หรือจะได้หาลู่ทางหลบฝนได้ทัน และอาจคิดวิตกกังวลเรื่องฝนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งถ้าเป็นมากจนรบกวนการใช้ชีวิตก็จำเป็นที่จะต้องไปพบผู้เชี่ยวชาญอย่างนักจิตวิทยา จิตแพทย์ หรือนักจิตบำบัดเพื่อทำการรักษาต่อไป
รักษาโรคกลัวฝน ยังไงดี ?
โรคกลัวฝนสามารถรักษาได้ โดยขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของอาการซึ่งวิธีที่นิยมใช้ได้แก่ การบำบัดด้วยพฤติกรรมและความคิด (CBT) ซึ่งช่วยให้เข้าใจความกลัวและปรับความคิดใหม่, การบำบัดแบบเผชิญหน้าความกลัว (Exposure Therapy) ที่ค่อยๆ ให้เผชิญกับสถานการณ์เกี่ยวกับฝนในแบบที่ปลอดภัย, รวมถึง การฝึกผ่อนคลาย เช่น หายใจลึกหรือสมาธิ เพื่อช่วยลดอาการตื่นตระหนก ในบางราย แพทย์อาจพิจารณาให้ ยาในกลุ่มลดความวิตกกังวลหรือซึมเศร้า หากอาการรุนแรงหรือมีโรคอื่นร่วมด้วย และสิ่งสำคัญที่ช่วยได้มากคือ การได้รับความเข้าใจจากคนรอบข้าง เพราะความกลัวจะค่อยๆ เบาบางลงได้ หากไม่ต้องต่อสู้เพียงลำพัง
โรคกลัวฝนที่เป็นอยู่นั้น สามารถดีขึ้นได้หากผู้ที่เป็นโรคนี้มีวิธีรับมือกับช่วงเวลาฝนตกได้ดี อาจจะเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจ อยู่ในสถานที่ที่ไม่ได้ยินเสียงฝนตกฟ้าร้อง หรืออยู่กับคนใกล้ชิดในช่วงเวลาที่ฝนตกเพื่อให้รู้สึกอุ่นใจมากขึ้น ฯลฯ ทั้งนี้ การไปพบผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในตัวเองมากขึ้น ก็จะช่วยบรรเทาความกลัวลงไปได้ และที่สำคัญคือ อย่ารู้สึกไม่ดีกับตัวเอง อย่าโทษตัวเองหรือรู้สึกว่าตัวเองแปลกแยก เพราะจะทำให้สุขภาพจิตแย่ลงได้ แต่ละคนมีความกลัวไม่เหมือนกัน และการกลัวฝนก็เป็นเพียงความกลัวอีกแบบหนึ่ง ถ้าเราสามารถปรับตัวกับมันได้ ก็จะใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากขึ้นค่ะ
ติดตามเราได้ที่ … เฟสบุ๊ค : เกร็ดสุขภาพ