“เพื่อสุขภาพ” ชุมชนสุขภาพ เรื่องราวตรงใจ ตอบโจทย์ทุกช่วงวัย รุ่นไหนก็รัก ♡
โรคเกี่ยวกับสมอง มีอะไรบ้าง? มาทำความรู้จัก แล้วหันมาดูแลสมองของเรากันเถอะ !
สมองเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญอย่างมากต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ เพราะมีบทบาทสำคัญหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นควบคุมและประสานการทำงานของร่างกายควบคุมการรับรู้ ความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมต่างๆ ของมนุษย์ และอีกหลายอย่างเลยล่ะค่ะ ซึ่งในบทความนี้ เพื่อสุขภาพจะพาทุกท่านไปรู้จักกับโรคเกี่ยวกับสมอง และวิธีบำรุง ดูแลสมอง ให้อยู่เป็นศูนย์กลางควบคุมร่างกายของเราไปนานๆ กันค่ะ
7 โรคเกี่ยวกับสมอง รู้แล้ว ต้องรีบดูแลสมอง ให้อยู่เป็นศูนย์กลางกับเรากัน !
นอกจากสมองจะควบคุม ประสานการทำงานของร่างกาย ควบคุมการรับรู้ ความคิด พฤติกรรม และอารมณ์ของมนุษย์ตามที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว สมองยังเป็นศูนย์กลางการประมวลผล ตีความ และตัดสินใจในการตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่างๆ อีกทั้งยังทำหน้าที่เก็บข้อมูลและความจำเพื่อนำมาใช้ในการดำรงชีวิตอีกด้วย สมองเป็นอวัยวะที่สำคัญขนาดนี้ เรามาดูแลสมองให้ดีก่อนที่จะเกิดโรคเกี่ยวกับสมองกันดีกว่ามั้ยคะ ในบทความนี้ เราจะขอแนะนำโรคสมอง ให้ทุกคนได้ตระหนัก และได้กลับไปดูแลสมองให้ดีขึ้นกว่าเดิมกันค่ะ
เกร็ดสุขภาพ : สมองของมนุษย์มีน้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 1.4 กิโลกรัม แต่มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีความจุ 20 เทราไบต์
โรคเกี่ยวกับสมอง มีอะไรกันบ้าง ?
1. โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s Disease)
เป็นโรคความจำเสื่อมที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ ส่งผลให้เกิดปัญหาด้านความจำ การคิด และการตัดสินใจ โดยมีลักษณะสำคัญดังนี้
สาเหตุ : โรคอัลไซเมอร์เกิดจากการเสื่อมของเซลล์สมองและการสูญเสียการเชื่อมต่อระหว่างเซลล์สมอง ซึ่งอาจเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม และอายุ
อาการ : มีปัญหาด้านความจำ โดยเฉพาะความจำระยะใกล้ จดจำสิ่งใหม่ล่าสุดได้ยาก มีปัญหาด้านการคิด การตัดสินใจ และการใช้ภาษา ซึ่งจะลุกลามมากขึ้นตามระยะของโรค
ระยะของโรค :
- ระยะเริ่มต้น : มีอาการลืมง่าย จดจำสิ่งใหม่ได้ยาก
- ระยะกลาง : มีปัญหาในการทำกิจวัตรประจำวัน และมีการเปลี่ยนแปลงด้านบุคลิกภาพ
- ระยะสุดท้าย : มีปัญหาการเคลื่อนไหว การพูด และจำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด
การรักษา : ปัจจุบันยังไม่มียารักษาให้หายขาด แต่สามารถชะลอความก้าวหน้าของโรคด้วยยาและการบำบัดรักษา โรคอัลไซเมอร์เป็นภาวะที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัว ดังนั้นการดูแลรักษาจึงเป็นเรื่องสำคัญ
2. โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s Disease)
พาร์กินสัน เป็นโรคทางระบบประสาทที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย ทำให้เกิดอาการสั่น กล้ามเนื้อเกร็ง และการเคลื่อนไหวลดลงมีลักษณะสำคัญดังนี้
สาเหตุ : สาเหตุไม่ทราบแน่ชัด แต่อาจเกิดจากปัจจัยทั้งทางพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม และอายุเนื่องจากเซลล์สมองที่ผลิตสารโดปามีนเสื่อมถอย ทำให้การควบคุมการเคลื่อนไหวผิดปกติ
อาการ :
- มือ แขน ขา สั่น (Tremor)
- กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง (Rigidity)
- การเคลื่อนไหวช้า (Bradykinesia)
- ท่าทางทรงตัว และการเดินผิดปกติ (Postural instability)
ระยะของโรค :
- ระยะเริ่มต้น : มีอาการสั่นของมือและแขนเล็กน้อย
- ระยะกลาง : อาการเข้มข้นขึ้น กล้ามเนื้อแข็งเกร็งและเคลื่อนไหวช้า
- ระยะสุดท้าย : ปัญหาการทรงตัวและการเดินรุนแรง อาจพบอาการทางจิตเวชร่วมด้วย
การรักษา : ใช้ยาควบคุมอาการ ร่วมกับการฟื้นฟูสมรรถภาพ การเคลื่อนไหว และการบำบัดอาการทางจิตใจ ในบางรายอาจต้องผ่าตัดสมองเพื่อปรับการทำงานของระบบประสาท โรคพาร์กินสันเป็นโรคที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยเป็นอย่างมาก จึงต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง
3. โรคสมองเสื่อม (Dementia)
โรคสมองเสื่อม (Dementia) คือกลุ่มอาการที่มีการเสื่อมของสติปัญญาและความสามารถทางสมองในด้านต่างๆ เช่น ความจำ การคิด การเรียนรู้ การตัดสินใจ ซึ่งเป็นอาการที่ลุกลามและทรุดลงอย่างต่อเนื่อง โดยมีลักษณะสำคัญ ดังนี้
สาเหตุ : มักเกิดจากโรคระบบประสาท เช่น โรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน หรือภาวะการขาดเลือดไปเลี้ยงสมอง
อาการ : ปัญหาด้านความจำ โดยเฉพาะความจำระยะใหม่ สับสนในเวลาและสถานที่ มีปัญหาด้านการใช้ภาษา การวางแผน และการตัดสินใจ เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านบุคลิกและพฤติกรรม
การแบ่งประเภท :
- โรคอัลไซเมอร์ เป็นสาเหตุหลักของโรคสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ
- โรคพาร์กินสัน มักมีอาการสมองเสื่อมร่วมด้วย
- โรคหลอดเลือดสมอง ก็เป็นสาเหตุสำคัญของการเสื่อมของสมอง
การรักษา : ปัจจุบันยังไม่มียารักษาให้หายขาด แต่สามารถชะลอการเสื่อมด้วยการรักษาและดูแลเป็นอย่างดี ดังนั้นการป้องกันและดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อรักษาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัว (อ่านเรื่องความต่างของโรคสมองเสื่อมกับอัลไซเมอร์เพิ่มเติมได้อีกนะคะ)
4. โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
ประโยชน์ของแมคคาเดเมียที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อนก็คือช่วยบำรุงและส่งเสริมการทำงานของระบบเผาผลาญภายในร่างกายให้ทำงานเป็นปกติและเต็มประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดของเราและ
สาเหตุ : สาเหตุของโรคหลอดเลือดสมอง แบ่งออกเป็น 2 อย่าง หลักๆ ได้แก่
- การอุดตันของหลอดเลือดจากลิ่มเลือด (ischemic stroke) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่พบได้ประมาณ 80-85% ของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
- การแตกของหลอดเลือดในสมอง (hemorrhagic stroke) ซึ่งเกิดจากการแตกของหลอดเลือดในสมองหรือเลือดออกในสมอง
อาการ : โรคหลอดเลือดสมองจะขึ้นอยู่กับบริเวณที่ได้รับผลกระทบ เช่น อ่อนแรงครึ่งซีก มองเห็นภาพซ้อน พูดไม่ชัด เป็นต้น การรักษาจะขึ้นอยู่กับประเภทของโรคหลอดเลือดสมอง โดยมีการใช้ยาละลายลิ่มเลือด การทำหัตถการเปิดหลอดเลือด และการฟื้นฟูสมรรถภาพ
การรักษา : การรักษาโรคหลอดเลือดในสมองมีหลายวิธี ซึ่งขึ้นอยู่กับประเภทและระยะของโรค ดังนี้
- โรคหลอดเลือดสมองที่เกิดจากการอุดตัน (ischemic stroke) :
- ใช้ยาละลายลิ่มเลือด (thrombolytics) เช่น alteplase ภายใน 4.5 ชั่วโมงหลังเกิดอาการ เพื่อละลายลิ่มเลือดและคืนการไหลเวียนเลือดในสมองได้เร็วขึ้น
- การใช้ยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด เช่น aspirin, anticoagulants
- การทำหัตถการเปิดหลอดเลือดที่อุดตัน (thrombectomy) ในกรณีที่ยาละลายลิ่มเลือดไม่ได้ผล
- โรคหลอดเลือดสมองที่เกิดจากการแตก (hemorrhagic stroke) :
- ใช้ยาเพื่อควบคุมความดันโลหิตและการแข็งตัวของเลือด
- ผ่าตัดเพื่อรักษาการแตกของหลอดเลือดหรือเลือดออกในสมอง
การฟื้นฟูสมรรถภาพ : จะใช้วิธีกายภาพบำบัด กิจกรรมบำบัด และการฝึกพูด เพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายและปรับปรุงคุณภาพชีวิต ซึ่งการรักษาที่ถูกต้อง และทันท่วงทีเป็นสิ่งสำคัญในการลดอัตราการเสียชีวิต และความพิการจากโรคหลอดเลือดสมอง
เกร็ดสุขภาพ : วิธีที่จะช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดในสมองคือ การคุมโรคประจำตัวยอดฮิตอย่าง ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือไขมัน ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ กินอาหารที่ไม่มัน ไม่เค็ม ไม่รสจัด ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ และมีสุขภาพจิตที่ดี
5. โรคลมชัก (Epilepsy)
โรคลมชัก (Epilepsy) คือ ความผิดปกติของระบบประสาทที่ทำให้เกิดอาการชักซึ่งเป็นผลมาจากการที่มีการจ่ายประสาทฟุ้งซ่านในสมอง ซึ่งลักษณะสำคัญของโรคนี้คือ
- มีอาการชักซ้ำๆ โดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน
- อาการชักเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน และมีระยะเวลาจำกัด
- ช่วงพักระหว่างการชัก หลังจากมีอาการชัก ผู้ป่วยจะกลับเป็นปกติและไม่มีอาการต่อเนื่อง
สาเหตุ : มีหลายปัจจัย เช่น ความผิดปกติทางพันธุกรรม ความผิดปกติทางสมอง การบาดเจ็บทางสมอง ภาวะแทรกซ้อนทางการแพทย์ หรือสาเหตุที่ไม่ทราบแน่ชัด
การรักษา : โรคลมชักส่วนใหญ่จะใช้ยากันชัก ซึ่งต้องใช้อย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่องเพื่อช่วยควบคุมและป้องกันอาการชัก นอกจากนี้ ยังมีวิธีการรักษาอื่น เช่น การผ่าตัดสมอง การกระตุ้นประสาทด้วยไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งการดูแล และรักษาอย่างเหมาะสมจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมอาการชักและใช้ชีวิตได้อย่างปกติ
6. โรคสมองอักเสบ (Encephalitis)
โรคสมองอักเสบ คือ ภาวะการอักเสบของเนื้อสมอง ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อหรือมีภูมิคุ้มกันผิดปกติ ส่งผลให้เกิดการอักเสบและการทำลายเนื้อเยื่อสมอง ซึ่งลักษณะสำคัญของโรคสมองอักเสบ มีดังนี้
สาเหตุ : อาจเกิดจากเชื้อไวรัส เช่น เชื้อไวรัสเอชเอสวี, เชื้อไวรัสอื่นๆ เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และปรสิต หรือเกิดภาวะภูมิคุ้มกันผิดปกติ
อาการ :
- เกิดอาการทางระบบประสาทเฉียบพลัน เช่น ไข้ ปวดศีรษะ อาเจียน งุ่นง่าน พูดไม่ชัด
- เกิดอาการเกี่ยวกับการทำงานผิดปกติของสมอง เช่น อาการชัก สับสน มีความผิดปกติในการรับรู้ การพูดและการเคลื่อนไหว
- มีพยาธิสภาพของสมองจากการอักเสบ
การรักษา : ประกอบด้วย การใช้ยาต้านเชื้อ ลดไข้ ควบคุมอาการชัก และการฟื้นฟูสมรรถภาพ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของโรค ซึ่งเช่นเคย การรักษาที่เหมาะสม และทันท่วงทีจะช่วยลดอัตราการเสียชีวิต และภาวะแทรกซ้อนจากโรคนี้ได้
7. โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis)
โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis หรือ MS) คือ โรคทางระบบประสาทที่เกิดจากความผิดปกติในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ส่งผลให้เกิดการทำลายและการอักเสบของปลอกประสาท (myelin sheath) ซึ่งเป็นชั้นหุ้มเส้นประสาทในสมองและไขสันหลัง ซึ่งลักษณะสำคัญของโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง มีดังนี้
สาเหตุ : เกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายผิดปกติ ซึ่งจะส่งผลให้ปลอกประสาททำลายตัวเอง ทำให้การส่งสัญญาณประสาทเกิดความบกพร่อง
อาการ :
- อาการที่เกิดขึ้นมักจะกระจัดกระจาย และมีการเปลี่ยนแปลงตามเวลา
- อาการที่พบ เช่น อ่อนแรง, สูญเสียการควบคุมการเคลื่อนไหว, ความรู้สึกชาในร่างกาย, ปัญหาทางสายตา, อาการชัก และภาวะสมองเสื่อม
- มีระยะที่มีอาการและระยะที่อาการดีขึ้น
การรักษา : จะใช้ยากดภูมิคุ้มกัน ยาช่วยรักษาอาการ และการฟื้นฟูสมรรถภาพ เพื่อช่วยควบคุมและชะลอโรค สำหรับอาการที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วอาจต้องใช้วิธีการรักษาที่รุนแรงมากขึ้น ซึ่งการวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถจัดการและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงอาการได้ดีขึ้น
สาเหตุที่อาจทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับสมอง มีอะไรบ้าง ?
- ปัจจัยทางพันธุกรรม : บางโรคสมองมีรากฐานมาจากความผิดปกติทางพันธุกรรม เช่น โรคพาร์กินสัน
- การบาดเจ็บหรือการได้รับอุบัติเหตุ : การได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ อาจทำให้เกิดปัญหาสมองได้ เช่น อาการชักจากการบาดเจ็บ
- การติดเชื้อ : ไวรัส แบคทีเรีย หรือปรสิต อาจเข้าสู่สมองและทำให้เกิดการอักเสบ เช่น โรคสมองอักเสบ
- ภาวะขาดสารอาหาร : การขาดวิตามินหรือสารอาหารสำคัญ อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพสมอง
- ความผิดปกติทางเมตาบอลิซึม : ภาวะน้ำตาลในเลือดผิดปกติ หรือความผิดปกติทางการหมุนเวียนเลือด
- ปัจจัยทางอายุและสิ่งแวดล้อม : ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงมากขึ้น รวมถึงการสัมผัสสารพิษหรือมลพิษ
- ความเครียดและวิถีชีวิต : ความเครียดที่รุนแรงและต่อเนื่อง อาจกระทบต่อสุขภาพสมองได้
ดังนั้น การป้องกันและดูแลสุขภาพสมองอย่างเหมาะสม จึงเป็นสิ่งสำคัญในการลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคทางสมอง
เกร็ดสุขภาพ : สมองมีความยืดหยุ่นและสามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างและหน้าที่ได้ตลอดชีวิต (neuroplasticity) ซึ่งช่วยให้เรามีความสามารถในการเรียนรู้และปรับตัวได้ตลอดเวลา
วิธีการดูแลสมอง เพื่อป้องกันโรคสมองมีอะไรบ้าง ?
ได้รู้กันไปแล้วว่า โรคเกี่ยวกับสมองมีอะไรบ้าง และแต่ละโรคมีความร้ายแรงแค่ไหน ดังนั้น การดูแลตังเองที่ดี ก็จะช่วยป้องกัน และลดความเสี่ยงของโรคทางสมองได้ แต่จะมีวิธีดูแลสมองยังไงบ้างนั้น มาดูกันค่ะ
- กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อสมอง : การกินอาหารบำรุงสมองอย่างอาหารที่มีโอเมกา-3 เช่น ปลา ถั่วเมล็ดแห้ง ผัก ผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ คาร์โบไฮเดรตที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ เช่น ข้าวกล้อง จะเป็นประโยชน์ต่อสมองค่ะ
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ : การออกกำลังกายสม่ำเสมอจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง
- พักผ่อนให้เพียงพอ : การพักผ่อนที่เพียงพอจะช่วยให้สมองได้รับการฟื้นฟูและลดความเครียดซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเกิดโรคเกี่ยวกับสมองได้
- ป้องกันการบาดเจ็บบริเวณสมอง : สวมหมวกกันน็อคทุกครั้งเมื่อขี่จักรยานหรือทำกิจกรรมเสี่ยงๆ และหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ที่มากเกินไป
- ควบคุมความดันโลหิตและระดับน้ำตาลในเลือด : การควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพจะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองได้
- ฝึกสมอง : โดยทำกิจกรรมที่ท้าทายสมอง เช่น อ่านหนังสือ, ฝึกภาษา, แก้ปริศนา เป็นต้น
การดูแลสุขภาพสมองอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เราปกป้องสมองของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคทางสมอง และเมื่อมีอาการที่รู้สึกว่าผิดปกติ ให้รีบพบแพทย์ เพราะการวินิจฉัยอย่างทันท่วงที และรักษาโรคเกี่ยวกับสมองที่ตรงจุด และรวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดความรุนแรงของอาการและป้องกันโรคลุกลามมากขึ้น
Featured Image Credit : freepik.com
ติดตามเราได้ที่ … เฟสบุ๊ค : เกร็ดสุขภาพ