“เพื่อสุขภาพ” ชุมชนสุขภาพ เรื่องราวตรงใจ ตอบโจทย์ทุกช่วงวัย รุ่นไหนก็รัก ♡
ทำไมถึง ปวดข้อมือจี๊ดๆ ?! เกิดจากอะไร ? รักษาแบบไหนถึงหายปวด ?!
อาการปวดตามร่างกายและอวัยวะต่างๆ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นที่เกิดขึ้นได้ หากมีการใช้งานอย่างหนัก หรือกล้ามเนื้อมีความตึงเนื่องจากอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานๆ รวมถึงการใช้งานกล้ามเนื้อหรืออวัยวะส่วนนั้นอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ในผู้ที่ใช้ข้อมือบ่อยๆ อย่างพนักงานออฟฟิศที่ต้องนั่งพิมพ์งานหน้าจอ เชฟที่ต้องทำอาหาร หรือผู้ที่ทำงานฝีมือ การใช้งานข้อมือในชีวิตประจำวันซ้ำๆ จึงอาจส่งผลทำให้ปวดข้อมือได้ แต่ถ้าจู่ๆ รู้สึก ปวดข้อมือจี๊ดๆ ขึ้นมา ร่วมกับปวดแบบอื่นๆ จะเป็นเพราะสาเหตุใดได้บ้าง สามารถรักษาได้มั้ย มีวิธีดูแลตัวเองอย่างไร ไปอ่านกันเลยค่ะ
ปวดข้อมือจี๊ดๆ เกิดจากอะไร ? รักษาได้หรือไม่
อาการปวดข้อมือนั้นเกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน ทั้งยังมีลักษณะการปวดที่แตกต่างกันอีกด้วย เช่น ปวดตื้อๆ ปวดแบบเหมือนโดนเข็มทิ่ม ปวดข้อมือจี๊ดๆ ปวดแบบชาๆ ร่วมกับมีอาการมือชา เจ็บแปลบที่มือ หรือในบางรายอาจนิ้วบวม ข้อมือบวม รู้สึกร้อนบริเวณข้อต่อใกล้กับข้อมือ หรือกำมือหยิบจับสิ่งของได้ไม่ถนัด อย่างไรก็ตาม หากมีไข้ ข้อมือบวมแดง ขยับข้อมือไม่ได้ และข้อมือมีลักษณะผิดรูป ควรไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นการติดเชื้อและเกิดการอักเสบอย่างรุนแรงได้ ทีนี้เรามาดูกันว่า หากปวดข้อมือ จะเกิดจากสาเหตุใดได้บ้าง จะได้หาทางรักษาและป้องกันได้ค่ะ
1. เส้นประสาทถูกกดทับ
หากรู้สึกปวดข้อมือจี๊ดๆ ร่วมกับมีอาการชา รู้สึกยุบยิบตรงข้อมือ คล้ายกับการเป็นเหน็บ หรือรู้สึกแสบร้อนบริเวณมือด้วย อาจเป็นเพราะเส้นประสาทบริเวณข้อมือถูกกดทับ ซึ่งเป็นอาการปวดข้อมือแบบหนึ่งที่พบได้บ่อย โดยจะต้องวินิจฉัยจากการตรวจร่างกายอย่างละเอียด และตรวจด้วยไฟฟ้าวินิจฉัย (Electrodiagnosis) หากจำเป็น
2. โรคข้อเสื่อม
โรคข้อเสื่อมเป็นสาเหตุของการปวดข้อมือได้เช่นกัน ทั้งข้อเข่าเสื่อม ข้อมือเสื่อม โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ และในผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคข้อเสื่อม ซึ่งอาจเป็นผลมาจากพันธุกรรม การบาดเจ็บ หรือใช้งานข้อมือมากเกินไป ซึ่งจะมีอาการปวดขัดข้อมือเวลาใช้งาน เคลื่อนไหวข้อมือได้ไม่สุด และอาจทำให้ข้อมือโค้งงอ ผิดรูปจนสังเกตเห็นได้ชัดเจน
3. เอ็นข้อมืออักเสบ
เอ็นข้อมืออักเสบ เกิดจากปลอกหุ้มเอ็นบริเวณข้อมือมีการอักเสบ ทำให้เกิดอาการบวม และรู้สึกปวดบริเวณข้อมือด้านข้างหัวแม่มือ อาจจะเริ่มปวดทีละน้อย หรือรู้สึกปวดข้อมือจี๊ดๆ ทันทีก็ได้เช่นกัน ในบางรายจะรู้สึกปวดร้าวไปถึงแขน และจะปวดมากขึ้นเมื่อใช้งานข้อมือและหัวแม่มือซ้ำๆ โดยเฉพาะเวลายกของหนักหรือบิดข้อมือ
เกร็ดสุขภาพ : อาการเอ็นข้อมืออักเสบ เป็นกลุ่มอาการที่พบได้บ่อยมากขึ้นในปัจจุบัน โดยพบได้ตั้งแต่เด็ก ผู้ใหญ่ ไปจนถึงผู้สูงอายุ ซึ่งสาเหตุหนึ่งที่พบได้บ่อยคือ การใช้สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตเป็นเวลานาน โดยโทรศัพท์บางเครื่องมีขนาดใหญ่กว่ามือของตนเอง ทำให้ต้องเกร็งเวลาถือ ส่งผลให้เอ็นข้อมือถูกใช้งานหนัก ทำให้เกิดเอ็นข้อมืออักเสบตามมา นอกจากนี้ อาการนิ้วล็อคจากการใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีเป็นเวลานาน ก็สามารถพบได้บ่อยเช่นกัน
4. กลุ่มอาการพังผืดกดทับเส้นประสาทที่ข้อมือ
โดยเกิดจากเส้นประสาทในข้อมือถูกเอ็นพังผืดเบียดทับ ทำให้รู้สึกปวดข้อมือ และมีอาการชาบริเวณนิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนาง บางรายรู้สึกชา คล้ายเป็นเหน็บ รู้สึกปวดข้อมือจี๊ดๆ หรือรู้สึกแสบร้อน ซึ่งแต่ละคนจะมีอาการต่างกันไป ส่วนใหญ่มักเกิดกับผู้ที่ใช้มือทำงานซ้ำๆ เช่น ทำงานบ้าน ทำอาหาร ขับรถ เขียนหนังสือ ใช้โทรศัพท์ ซึ่งถ้ามีอาการแบบนี้ ปวดข้อมือ รักษาได้ และควรไปพบแพทย์ทันที เพราะการที่เส้นประสาทถูกกดเบียดนานๆ เส้นประสาทอาจจะเสื่อมได้เลยนะคะ
5. ถุงน้ำที่ข้อมือ
สาเหตุของอาการปวดข้อมือที่อาจเกิดขึ้นได้ก็คือ เกิดถุงน้ำที่ข้อมือ อันเนื่องมาจากการใช้งานข้อมืออย่างหนักบ่อยๆ หรือเกิดอุบัติเหตุ ทำให้เยื่อหุ้มข้อมือฉีกขาด ส่งผลให้น้ำหล่อเลี้ยงในข้อมือรั่วออกมา เกิดเป็นถุงน้ำบริเวณข้อมือที่สามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน โดยอาจมีอาการปวดข้อมือ หรือไม่ปวดเลยก็ได้ แม้ไม่เป็นอันตราย แต่สำหรับใครที่กังวลเรื่องความสวยงามและบุคลิกภาพ ก็สามารถรักษาด้วยการผ่าตัดเอาถุงน้ำออกได้ค่ะ
นอกจากสาเหตุหลักๆ ที่กล่าวมาแล้ว ช่วงวัยก็เกี่ยวข้องอาการปวดข้อมือจี๊ดๆด้วยเช่นกัน โดยอาการปวดข้อมือ มักไม่เกิดขึ้นในวัยเด็ก เนื่องจากกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นยังคงมีความยืดหยุ่นสูงและไม่ได้ผ่านการใช้งานหนัก แต่กลุ่มที่พบอาการปวดข้อมือได้มากที่สุดก็คือช่วงวัยทำงาน เพราะต้องใช้ข้อมือทำงานซ้ำๆ ติดต่อกันเป็นเวลานาน เช่น ปวดข้อมือขวาจากการใช้ทำงานตลอดทั้งวัน เป็นต้น ซึ่งอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บและอักเสบขึ้นได้กับทั้งเส้นเอ็น เส้นประสาท และข้อต่อในข้อมือ ส่วนในวัยผู้สูงอายุมักจะมีอาการปวดข้อมือที่เกี่ยวข้องโรคข้อเสื่อม เช่น เอ็นเล็กๆ ข้างในข้อมีการฉีกขาด หรือเสื่อมสภาพไปตามวัย
ปวดข้อมือ รักษาได้อย่างไรบ้าง
หากมีอาการปวดข้อมือ ไม่ว่าจะเป็นปวดข้อมือจี๊ดๆ หรือปวดหน่วงๆ ปวดไม่รุนแรง สามารถรักษาเบื้องต้นได้ด้วยการประคบเย็น หรือพยุงข้อมือไว้ด้วยผ้าพันที่ยืดได้ แต่ถ้าปวดข้อมืออย่างรุนแรงหรือปวดเป็นเวลานาน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อที่จะได้ทำการวินิจฉัย และรักษาได้อย่างตรงจุด เพราะถ้าหากทิ้งไว้นานๆ อาจทำให้เกิดอาการอักเสบอย่างรุนแรง และส่งผลเสียตามมาได้นะคะ หากมีอาการปวดข้อมือ รักษาได้ดังนี้
- ใส่อุปกรณ์พยุงข้อมือ เพื่อช่วยพยุงข้อมือเอาไว้ และป้องกันการบาดเจ็บอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้
- ประคบเย็น จะใช้แผ่นเจลเย็นหรือผ้าห่อน้ำแข็งก็ได้เช่นกัน นำมาวางบริเวณที่ปวดเป็นเวลา 2 – 3 นาที เพื่อลดอาการปวดบวม
- ทำกายภาพบำบัด เช่น การทำอัลตราซาวด์ลดปวด ออกกำลังกายในท่าทางที่เหมาะสมเพื่อบรรเทาอาการปวดข้อมือ
- กินยาแก้อักเสบตามแพทย์สั่ง หรือกินยาแก้ปวด เช่น ไอบูโพรเฟน พาราเซตามอล เป็นต้น
- รักษาด้วยการผ่าตัด ในบางคนที่มีผังผืดยึดติดข้อมือ มีถุงน้ำ อาจจะต้องทำการผ่าตัดเพื่อเอาผังผืดหรือถุงน้ำออก หรือผ่าตัดเพื่อซ่อมแซมเส้นเอ็นที่ได้รับความเสียหายในกรณีที่เกิดการบาดเจ็บที่เส้นเอ็น ซึ่งทำให้มีอาการปวดข้อมือตามมา
เกร็ดสุขภาพ : บางคนอาจจะไม่กล้าไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย แต่กระบวนการวินิจฉัยนั้นไม่มีอะไรน่ากลัวเลยค่ะ หากไปพบแพทย์ แพทย์จะประเมินด้วยการสังเกตอาการบวม หรือการผิดรูปของข้อมือ อาจทำการเคาะบริเวณเหนือเส้นประสาทที่ข้อมือเพื่อดูว่ามีอาการปวดหรือไม่ ร่วมกันการให้งอมือ และเคลื่อนไหวข้อมือเพื่อดูว่ามีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติหรือไม่ รวมถึงการประเมินความสามารถในการหยิบจับสิ่งของ หรืออาจทำการเอกซเรย์ร่วมด้วย
ปวดข้อมือ ป้องกันได้หรือไม่ ป้องกันได้อย่างไร ?
ตอนนี้ก็ได้ทราบกันแล้วว่า อาการปวดข้อมือนั้นเกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดหน่วงๆ ปวดมาเป็นระยะเวลานาน หรือปวดข้อมือจี๊ดๆ ปวดร่วมกับมีอาการชา แสบร้อน ซึ่งทางที่ดีควรไปพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยอาการปวด จะได้ทำการรักษาได้อย่างถูกโรค ทั้งนี้ พฤติกรรมการใช้ข้อมือของเราก็ทำให้มีอาการปวดข้อมือได้เช่นกัน และเราสามารถป้องกัน – ดูแลตัวเองได้ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการใช้ข้อมือเป็นเวลานาน ในพนักงานออฟฟิศที่ต้องนั่งทำงานหน้าจอเป็นเวลานาน อาจจะต้องพักบ้างสั้นๆ ขยับข้อมือให้อยู่ในท่าทางอื่นๆบ้าง หรือพักเป็นเวลา 10 – 15 นาที เพื่อที่เป็นการพักข้อมือ และจะได้พักสายตาไปด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดโรค Computer Vision Syndrome ที่เกิดจากการจ้องหน้าจอมากเกินไปนั่นเองค่ะ
- หากจำเป็นต้องพิมพ์งานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นระยะเวลานานก็อาจจะใช้โฟมหรือเจลช่วยรองข้อมือในขณะที่พิมพ์งานก็จะสามารถช่วยลดแรงกดทับที่ข้อมือได้
- หากทำงานที่จะต้องใช้มือ เช่น งานถักสาน งานตัดผม งานต่อขนตา งานหัตกรรมอื่นๆ ถ้าเป็นไปได้ให้สลับการใช้งานมือซ้าย – มือขวา เพื่อป้องกันการใช้งานมือข้างใดข้างหนึ่งมากเกินไป จนทำให้รู้สึกปวดได้
- หากเล่นกีฬาหรือทำกิจกรรมที่ต้องต้องใช้ข้อมือมากๆ ให้สวมอุปกรณ์ป้องกันข้อมือ เพื่อป้องกันการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นได้
- ไม่ใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีอย่างแท็บเล็ตหรือโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานานเกินไป เพราะทำให้เกิดการเกร็งข้อมือ และรู้สึกปวดตามมาได้
- หลีกเลี่ยงการถือของหนัก หรือยกของหนักเป็นเวลานาน เพราะอาจทำให้เกิดอาการบาดเจ็บบริเวณข้อมือได้ และทำให้เกิดอาการปวดข้อมือตามมา
- กินอาหารที่มีประโยชน์เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง โดยผู้ใหญ่ควรบริโภคแคลเซียมประมาณ 1 กรัม/วัน หรือหากต้องการกินอาหารเสริมแคลเซียมควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน เพื่อไม่ให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ รวมถึง กินอาหารประเภทโปรตีนในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ เพื่อเป็นการป้องกันความเสื่อมของกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ที่อาจเกิดขึ้นและทำให้มีอาการปวดได้
อาการปวดข้อมือเกิดได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน นอกจากสาเหตุที่กล่าวไปแล้ว ผู้ที่ป่วยเป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ผู้ที่เป็นโรคเก๊าต์ โรคลูปัส หรือโรค SLE (โรคแพ้ภูมิตัวเอง) ก็มักจะปวดตามข้อต่างๆ ด้วย แต่สำหรับคนที่ไม่มีโรคประจำตัว หากมีอาการปวดข้อมือบ่อยๆ หรือปวดรุนแรง ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจดูความผิดปกติ หากทิ้งไว้นานอาจทำให้อาการทรุดหนักได้ รักษาตั้งแต่เนิ่นๆ จะดีกว่านะคะ ร่วมกับการดูแลป้องกันตัวเอง เพื่อหลีกเลี่ยงอาการปวดข้อมือที่อาจเกิดขึ้นได้หากไม่ระมัดระวัง
อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก : theworldmedicalcenter.com, kdmshospital.com, thonburihospital.com, nhs.uk, my.clevelandclinic.org
Featured Image Credit : freepik.com/Lifestylememory
ติดตามเราได้ที่ … เฟสบุ๊ค : เกร็ดสุขภาพ