“เพื่อสุขภาพ” ชุมชนสุขภาพ เรื่องราวตรงใจ ตอบโจทย์ทุกช่วงวัย รุ่นไหนก็รัก ♡
หูตึงเกิดจากอะไร ? ชวนป้องกัน ก่อนที่จะสายเกินแก้กัน !
เราเคยได้ยินกันว่าเมื่ออายุมากขึ้น สมรรถภาพทางกายก็จะเปลี่ยนไป ร่างกายก็เคลื่อนไหวได้ไม่คล่องแคล่วเหมือนเคย มีการเจ็บป่วยออดๆ แอดๆ หรือมีโรคประจำตัวเรื้อรัง ไม่ว่าจะเป็นความดัน ไขมัน เบาหวาน ข้ออักเสบ ฯลฯ ทั้งสายตาที่ฝ้าฟางและมองเห็นไม่ชัดเหมือนเดิม มีปัญหาต้อหิน ต้อลม ต้อกระจก และอื่นๆ รวมถึงอาการหูตึงได้ยินไม่ชัดเจนเหมือนเดิม ที่ว่ากันว่าเมื่อแก่แล้วจะมีอาการหูตึงกันทั้งนั้น หูตึงเกิดจากอะไร ? จะเป็นเฉพาะคนที่อายุมากเท่านั้นหรือ สามารถรักษา – ป้องกันได้หรือไม่ มาอ่านเพิ่มเติมกันเลยค่ะ
หูตึงเกิดจากอะไร ? อายุมากแล้วจะเป็นกันทุกคนหรือเปล่า ?!
โรคเกี่ยวกับหูที่พบได้บ่อยอย่างหนึ่งก็คือ หูตึง (Presbycusis) ซึ่งเป็นอาการที่ไม่ค่อยได้ยินเสียงชัดเจน โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ เนื่องจากหูชั้นในเกิดการเสื่อมของการได้ยินตามอายุที่เพิ่มขึ้น สามารถเกิดขึ้นได้กับหูข้างเดียว หรือหูทั้งสองข้าง ส่งผลให้มีปัญหาทางด้านการสื่อสาร แม้ว่าอาการหูตึงในผู้สูงอายุจะไม่ใช่โรคร้ายแรงอันตราย แต่เป็นภาวะค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งทำให้ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้สูงอายุ เช่น ไม่สามารถสื่อสารกับคนรอบข้างได้อย่างชัดเจน เกิดปัญหาระหว่างผู้สูงอายุกับผู้ดูแลหรือคนในครอบครัว หากมีอาการรุนแรงจนถึงขั้นไม่สามารถสื่อสารกับคนรอบข้างได้อย่างเป็นปกติก็อาจส่งผลกระทบทางด้านจิตใจของผู้สูงอายุได้อีกด้วย แล้วอาการหูตึงเกิดจากอะไร ? เราจะป้องกันได้หรือไม่ ไปดูกันต่อเลยค่ะ
เกร็ดสุขภาพ : การสูญเสียการได้ยินที่พบได้บ่อย ได้แก่ การติดเชื้อของหูชั้นกลาง (Otitis Media) หรือหูน้ำหนวก การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงอึกทึก (Noise – Induced) ซึ่งเป็นสาเหตุของการสูญเสียการได้ยินแบบถาวร และการสูญเสียการได้ยินเนื่องจากวัยชรา (Presbyacusis) ซึ่งมีการสูญเสียการได้ยินในช่วงเสียงที่มีความถี่สูง และอาจลุกลามไปยังช่วงเสียงความถี่อื่นๆ จนได้ยินไม่ชัดเจน
หูตึงเกิดจากอะไร ? มาดูสาเหตุชัดๆ กัน
หูตึงเกิดจากอะไรกันแน่ ? อาการหูตึงเกิดจากการเสื่อมและตายของเซลล์ขนรับเสียง (Hair cells) ในหูชั้นใน รวมถึงประสาทบริเวณหูชั้นในค่อยๆ สึกกร่อนหรือฉีกขาดไป เมื่ออายุมากขึ้นจึงทำให้ไม่ได้ยินช่วงเสียงที่มีความถี่สูงหรือเสียงแหลม จากนั้นความเสื่อมจะค่อยๆ ลามไปถึงช่วงความถี่กลางซึ่งเป็นระดับของเสียงพูด จึงทำให้ผู้ที่มีอาการหูตึงฟังได้ไม่ชัด ส่วนใหญ่แล้วจะเริ่มแสดงอาการเมื่ออายุ 60 ปีขึ้นไป ทั้งนี้ ยังมีปัจจัยที่ส่งผลต่อความรุนแรงของอาการหูตึง เช่น การรับประทานยาบางชนิดที่ทำให้ประสาทหูเสื่อมเร็วขึ้น และนอกจากจะเกิดจากอายุที่มากขึ้นแล้ว หูตึงเกิดจากอะไรได้อีกบ้าง มาดูกันค่ะ
- อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง จนอาจทำให้เซลล์ประสาทหูชั้นในได้รับความเสียหาย อย่างการทำงานในสถานที่ก่อสร้างหรือโรงงานอุตสาหกรรมที่มีเครื่องจักรหรือเครื่องยนต์ หรืออาจเกิดจากการฟังเสียงที่ดังมากในช่วงสั้นๆ ก็อาจทำให้หูตึงได้อย่างฉับพลัน เช่น เสียงปืน เสียงระเบิด เป็นต้น
- หูตึงเกิดจากอะไรได้อีกบ้าง ? การใช้ยาบางอย่างอาจส่งผลต่อการทำงานของหูชั้นใน อย่างยาปฏิชีวนะหรือยาเคมีบำบัดบางชนิด ซึ่งอาจทำให้ได้ยินเสียงแว่วในหูชั่วคราว นอกจากนี้ การกินยาแอสไพริน ยาต้านมาลาเรีย ยาขับปัสสาวะ หรือยาแก้ปวดอื่นๆ ในปริมาณมากเกินไปก็อาจทำให้สูญเสียการได้ยินได้ชั่วคราว
- มีโรคหรือความเจ็บป่วยที่อาจทำให้หูตึงข้างใดข้างหนึ่งอย่างฉับพลัน เช่น น้ำในหูไม่เท่ากัน ติดเชื้อใน แก้วหูทะลุ ขี้หูอุดตัน มีถุงน้ำในหู เป็นโรคหินปูนเกาะกระดูกหู โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น
- เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส เช่น โรคไข้สมองอักเสบ คางทูม งูสวัด
- ได้รับบาดเจ็บหรือเกิดอุบัติเหตุที่ส่งผลกระทบต่อการได้ยิน
อาการหูตึงเป็นอย่างไร ?
หูตึงเกิดจากอะไรบ้าง ตอนนี้ก็ได้รู้สาเหตุกันไปแล้วนะคะ อาการหูตึงนั้นอาจเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวหรือเกิดอย่างถาวรก็ได้ แล้วแบบไหนถึงจะเข้าข่ายว่ามีอาการหูตึง มาดูกันค่ะ
- มักขอให้ผู้อื่นพูดซ้ำๆ ช้าๆ ดังๆ เพราะรู้สึกว่าผู้อื่นพูดพึมพำหรือพูดไม่ชัดพอ ทำให้ได้ยินไม่ถนัด
- มีปัญหาด้านการได้ยิน โดยเฉพาะเวลาที่มีเสียงรบกวนแทรกหรือในขณะที่อยู่ท่ามกลางผู้คนจำนวนมาก
- แยกไม่ออกว่าเสียงที่ได้ยินนั้นมาจากไหน เช่น มาจากหน้าบ้าน มาจากเสียงทีวี หรือจากเสียงคนคุยกัน
- ได้ยินเสียงพยัญชนะต่างๆ ไม่ชัดเจน
- เอามือป้องหูไปด้วยขณะที่ฟังผู้อื่นพูด ต้องหันหน้าไปยังคนพูด หรือต้องโน้มตัวไปใกล้ๆ ต้นเสียง ถึงจะได้ยินเสียงของผู้พูด
- ได้ยินเสียงดังในหู เช่น เสียงจิ้งหรีด บางคนมีลมออกหู หรือมีอาการหูอื้อ
- เร่งเสียงโทรทัศน์ วิทยุ หรือฟังเพลงในระดับเสียงที่ดังกว่าปกติ
- รู้สึกวิงเวียนศีรษะ ได้ยินเสียงกริ่ง หรือเสียงหึ่งๆ อยู่ในหู
- อาจหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ต้องพูดคุยกับคนอื่นเพราะมีปัญหาด้านการได้ยิน
- ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการฟังผู้อื่นพูด จนทำให้รู้สึกเหนื่อยหรือเครียดได้
เกร็ดสุขภาพ : ผู้ที่มีอาการหูตึงจะฟังเสียงเด็กและเสียงผู้หญิงได้ลำบาก ในบางคนอาจจะไม่ได้ยินเสียงที่พูดเลย เพราะเสียงเด็กและเสียงผู้หญิงนั้นมีคลื่นความถี่สูงหว่าระดับเสียงผู้ชาย ซึ่งคนที่มีอาการหูตึงในระเริ่มต้นมักจะสูญเสียการได้ยินในช่วงเสียงความถี่สูงก่อน หากมีอาการเช่นนี้ ควรรีบไปตรวจการได้ยินที่โรงพยาบาล ก่อนที่จะลุกลามไปมากกว่าเดิมค่ะ
ทดสอบด้วยตัวเอง เราเสี่ยงหูตึงหรือเปล่า ?
เราสามารถสังเกตอาการหูตึงเบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง เช่น ให้ผู้อื่นกระซิบในระยะ 10 เซนติเมตร หรือฟังเสียงเข็มนาฬิกาเดิน หรือยกมือขึ้นในระยะใกล้ๆ หู ประมาณ 1 นิ้ว จากนั้นใช้นิ้วชี้และนิ้วโป้งถูกกันจนเกิดเสียงเบาๆ หากได้ยินแสดงว่ายังปกติ แต่ถ้าไม่ได้ยินเสียงนั่นหมายความว่า อาจเสี่ยงที่จะมีภาวะหูตึง ควรไปตรวจการได้ยินที่โรงพยาบาลโดยด่วนค่ะ
อาการแบบไหนต้องไปตรวจการได้ยิน
อาการหูตึงนั้นจะค่อยเป็นค่อยไป ทำให้สังเกตได้ยาก ในบางคนอาจไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังเข้าข่ายมีภาวะหูตึง หากมีอาการต่างๆ เหล่านี้ แนะนำว่าให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็วค่ะ
- มักได้ยินคำเตือนว่าพูดเสียงดังเกินไป
- คนรอบข้างพูดแล้วไม่เข้าใจ ได้ยินไม่ถนัด
- ได้ยินไม่ชัด ได้ยินไม่ครบทั้งประโยค
- มักเปิดเสียงโทรทัศน์หรือเสียงอุปกรณ์ฟังเพลงต่างๆ ดังจนคนในบ้านเตือนว่าเปิดเสียงดังเกินไป หรือไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ ในขณะที่คนอื่นได้ยิน
- เมื่อมีเสียงดังจากหลายหลางแหล่งกำเนิดเสียงแล้วไม่สามารถระบุได้ว่าเสียงมาจากไหนกันแน่
หูตึงป้องกันได้หรือไม่ ?
จากเบื้องต้นจะเห็นว่า หูตึงเกิดจากอะไรได้บ้าง ซึ่งสาเหตุบางประการนั้นก็อาจหลีกเลี่ยงได้ยาก เช่น การเสื่อมสมรรถภาพการได้ยินตามวัย หรือความจำเป็นในการใช้ยาเพื่อรักษาโรคและความเจ็บป่วยต่างๆ อย่างไรก็ตาม อาจป้องกันความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการหูตึงได้ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังรบกวน โดยเฉพาะในที่ที่มีความดังเกิน 85 เดซิเบล ซึ่งเป็นอันตรายต่อหู
- อาจป้องกันเสียงดังได้โดยการใช้หูฟังชนิดครอบหู เพื่อกันเสียงรบกวนจากภายนอก หรือใส่ที่อุดหูหากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง
- ไม่ฟังเพลงดังจนเกินไป โดยเฉพาะในขณะที่ใส่หูฟัง เพราะอาจส่งผลต่อการได้ยินได้
- ไม่นำสิ่งของเข้าไปในหู เช่น ที่ปั่นหู ไม้แคะหู สำลี ทิชชู่ ซึ่งอาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรือทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
- เข้ารับการทดสอบการได้ยินอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง ซึ่งอาจช่วยให้พบความผิดปกติตั้งแต่เนิ่นๆ และป้องกันความรุนแรงได้
อาการหูตึงนั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน หากเกิดในผู้สูงอายุ โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีสาเหตุมาจากความเสื่อมตามวัย ซึ่งป้องกันได้ยาก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การปรับพฤติกรรมตนเองตั้งแต่เนิ่นๆ ก็อาจช่วยชะลอความเสื่อมของการได้ยินได้ เช่น หลีกเลี่ยงการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง ไม่นำสิ่งของแปลกปลอมใส่เข้าไปในหูเพราะอาจเกิดอุบัติเหตุทำให้แก้วหูทะลุหรือสูญเสียการได้ยินได้ ส่วนการรักษาอาการหูตึงนั้น อาจทำได้โดยการใส่เครื่องช่วยฟัง การฝังประสาทหูเทียม รวมถึงการเข้ารับการผ่าตัดในกรณีที่ติดเชื้อในหูหรือมีบาดเจ็บที่หูอย่างรุนแรง หรือมีหินปูนเกาะกระดูกหู เป็นต้น หากสังเกตได้ว่าการได้ยินของตนเองผิดปกติ การไปพบแพทย์ตั้งแต่เนื่นๆ ก็จะช่วยป้องกันภาวะหูตึงได้ค่ะ
อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก : nakornthon.com, samitivejhospitals.com, hopkinsmedicine.org
Featured Image Credit : freepik.com/drobotdean
ติดตามเราได้ที่ … เฟสบุ๊ค : เกร็ดสุขภาพ