“เพื่อสุขภาพ” ชุมชนสุขภาพ เรื่องราวตรงใจ ตอบโจทย์ทุกช่วงวัย รุ่นไหนก็รัก ♡
แชร์ วิธีเลิกกาแฟ ยังไงให้ปวดหัวน้อย พร้อมของกินทดแทนกาแฟที่ช่วยได้อย่างเห็นผล !
กาแฟ จัดว่าเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มยอดนิยมมากที่สุดของโลก เพราะนอกจากจะมีกลิ่นหอมกรุ่นและรสชาติเข้มชวนดื่มที่ผู้คนนิยมแล้ว ยังมีปริมาณคาเฟอีนที่ทำให้ผู้ที่ดื่มรู้สึกตื่นตัวและกระปรี้กระเปร่าอีกด้วย คาเฟอีนเป็นสารกระตุ้นทั่วไปที่พบในน้ำอัดลม กาแฟ ชา เครื่องดื่มชูกำลัง และอื่นๆ จัดว่าเป็นสิ่งที่ช่วยให้คุณตื่นและมีสมาธิมากขึ้นทั้งยังสามารถเพิ่มพลังงานและลดความเหนื่อยล้าระหว่างวัน แต่หากดื่มคาเฟอีนมากเกินไป ก็อาจทำให้รู้สึกปวดหัวและนอนไม่หลับได้ในบางคน ทำให้หลายคนอยากจะเลิกดื่มกาแฟ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มยังไง ทีมงานเพื่อสุขภาพมี วิธีเลิกกาแฟ ที่คุณสามารถทำได้ โดยไม่ต้องกังวลว่าเลิกกาแฟ ปวดหัวกี่วัน เพราะวิธีเหล่านี้จะทำให้คุณปวดหัวน้อยที่สุดค่ะ
รวม วิธีเลิกกาแฟ แบบง่ายๆ ทำได้จริง ไม่ปวดหัวเพิ่มขึ้นแน่นอน !
คาเฟอีน คืออะไร ? คาเฟอีนเป็นสารกระตุ้นธรรมชาติที่มีอยู่ในกาแฟ ชา ช็อคโกแลต น้ำอัดลม และเครื่องดื่มชูกำลัง ซึ่งช่วยลดความเหนื่อยล้า เพิ่มความตื่นตัว และทำให้รู้สึกมีพลัง นอกจากนี้ ยังอาจทำให้นอนไม่หลับ ปวดหัว ขาดน้ำ และความดันโลหิตสูงได้อีกด้วยหากดื่มมากเกินไป ซึ่งปริมาณคาเฟอีนในอาหารและเครื่องดื่มนั้นจะแตกต่างกันไป สำหรับกาแฟและชา ปริมาณคาเฟอีนต่อถ้วยขึ้นอยู่กับยี่ห้อ ชนิดของเมล็ดกาแฟ หรือใบชาที่ใช้ วิธีการเตรียมและระยะเวลาในการชง ในกาแฟ 1 ถ้วยมีคาเฟอีนได้ตั้งแต่ 2 มิลลิกรัมต่อถ้วย ไปจนถึง 200 มิลลิกรัมต่อถ้วย ซึ่งคนที่ดื่มกาแฟในปริมาณมากมานานแล้วอยากเลิก ก็จะกังวลว่าถ้าเลิกกาแฟ ปวดหัวกี่วัน หรือมีวิธีเลิกกาแฟที่ปวดหัวน้อยที่สุดไหมนะ ? ถ้าคุณอยากลดการดื่มกาแฟลง มาดูวิธีเลิกดื่มกาแฟกันเลยค่ะ
1. ค่อยๆ ลดปริมาณ
แม้ว่าการหักดิบจะเป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการเลิกคาเฟอีน แต่มีข้อเสียคืออาจทำให้ปวดหัวมากยิ่งขึ้นได้ หากคุณกังวลว่าเลิกกาแฟ ปวดหัวกี่วันนั้น ลองใช้วิธีค่อยๆ ลดปริมาณลงแทน จะช่วยหลีกเลี่ยงอาการปวดหัวหรือการกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานของคุณได้ อาจเริ่มวันแรกของการเลิกด้วยการดื่มคาเฟอีนให้น้อยลงเหลือเพียงครึ่งถ้วย แล้วค่อยๆ ลดปริมาณลงเหลือหนึ่งในสี่ถ้วยทุกวัน จนกว่าร่างกายจะชินกับการไม่ได้รับคาเฟอีนในที่สุด
2. นอนหลับให้เพียงพอ
คาเฟอีนอาจส่งผลต่อการนอนหลับได้ หากคุณบริโภคคาเฟอีนเป็นประจำ ร่างกายของคุณอาจคุ้นเคยกับการทำงานแบบนอนน้อย ทำให้หลายคนอยากหาวิธีเลิกกาแฟเพื่อให้พักผ่อนได้ยาวนานขึ้น ในขณะเดียวกัน หากคุณต้องการเลิกดื่มกาแฟ ก็ควรเพิ่มเวลานอนของคุณให้มากขึ้นด้วย โดยตั้งเป้านอนให้ได้ 7 – 8 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อไม่ให้รู้สึกเฉื่อยชาและเซื่องซึม จนต้องโหยหากาแฟนั่นเอง
เกร็ดสุขภาพ : คาเฟอีนมีผลอย่างไรต่อร่างกาย ? คาเฟอีนจะผ่านเข้าสู่กระแสเลือดจากการดูดซึมของกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก เมื่อเข้าสู่กระแสเลือด คาเฟอีนจะกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง เช่น เส้นประสาท สมอง เพื่อให้คุณรู้สึกตื่นตัวมากขึ้น นอกจากนี้ คาเฟอีนยังทำให้เกิดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้มีอาการเสียดท้องหรืออาหารไม่ย่อยหลังจากบริโภคคาเฟอีนได้อีกด้วย
3. เลือกเครื่องดื่มทดแทน
ประเภทของกาแฟนั้นมีหลากหลาย และการดื่มกาแฟร้อนๆ ในตอนเช้ามักจะทำให้เรามีอารมณ์สดใสในวันนั้น หนึ่งในวิธีเลิกกาแฟคือการหาเครื่องดื่มทดแทน เช่น ชาที่ปราศจากคาเฟอีน น้ำมะนาว สมูธตี้ และนม หรือหากคุณเลือกวิธีการค่อยๆ ลดปริมาณคาเฟอีน คุณสามารถลองดื่มกาแฟที่ไม่มีคาเฟอีนในช่วง 2 – 3 วันแรกได้ ซึ่งกาแฟแบบ Decaf จะมีคาเฟอีนประมาณ 12 มิลลิกรัมต่อถ้วย เทียบกับในถ้วยปกติคือ 95 – 200 มิลลิกรัม จัดว่ามีปริมาณคาเฟอีนที่น้อยกว่ามาก
4. หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์
แอลกอฮอล์มีฤทธิ์กดประสาท และทำให้ร่างกายขาดน้ำ ซึ่งเป็นเหตุว่าทำไมการดื่มแอลกอฮอล์ในตอนกลางคืนจึงมักจะตามมาด้วยอาการเฉื่อยชาไม่กระปรี้กระเปร่าในตอนเช้า ทำให้หลายคนต้องดื่มกาแฟที่เข้มข้นเพื่อต่อต้านผลกระทบของแอลกอฮอล์ ถ้าหากอยากเลิกดื่มกาแฟ ก็ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยเช่นกัน
5. ดื่มน้ำให้มากขึ้น
อาการเหนื่อยล้าและปวดหัวเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงภาวะขาดน้ำ วิธีเลิกกาแฟที่ดีที่สุดคือควรดื่มน้ำอย่างน้อย 6 – 8 แก้วต่อวัน เพราะกุญแจสำคัญในการเอาชนะอาการถอนคาเฟอีนก็คือ น้ำ และการดื่มน้ำให้เพียงพอจะทำให้ร่างกายของคุณมีพลังงาน และจะปฏิเสธความต้องการคาเฟอีนได้
เกร็ดสุขภาพ : ในระหว่างที่คุณเลิกคาเฟอีนนั้น แนะนำให้กินอาหารที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ เป็นประจำ เช่น เบอร์รี่ หรือกินอาหารที่มีไฟเบอร์สูงหากคุณกำลังค่อยๆ ลดปริมาณกาแฟ เพราะการกินอาหารดังกล่าวจะทำให้การหลั่งคาเฟอีนเข้าสู่กระแสเลือดช้าลง อาหารที่มีไฟเบอร์สูงและย่อยช้าได้แก่ ธัญพืชเต็มเมล็ด ข้าวโอ๊ต หรือนมโอ๊ต (อ่านเรื่อง oat milk คืออะไร เพิ่มเติม) ถั่ว ถั่วเลนทิล ผักประเภทแป้ง และเมล็ดพืช เป็นต้น
ความจริงแล้ว กาแฟไม่ได้สร้างปัญหาให้กับคนส่วนใหญ่ แต่คาเฟอีนในกาแฟต่างหากที่ส่งผลกระทบในแต่ละคนแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับอายุ เพศ และความไวต่อคาเฟอีน หากคุณรู้สึกไวต่อคาเฟอีนแม้ในปริมาณปานกลาง อาจทำให้นอนไม่หลับ หรือมีปัญหาในการนอนหลับ หัวใจเต้นเร็ว รู้สึกวิตกกังวล และรู้สึกกระสับกระส่ายได้ ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและโภชนาการได้ให้คำแนะนำว่า การบริโภคคาเฟอีนมากกว่า 600 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเทียบเท่ากาแฟ 4 – 7 ถ้วยนั้น เป็นปริมาณที่มากเกินไป ดังนั้น หากคุณดื่มกาแฟแล้วส่งผลต่อสุขภาพ และอยากจะลดการดื่มกาแฟหรือเลิกดื่มนั้น ลองนำวิธีเลิกกาแฟที่เราแนะนำไปข้างต้นไปลองทำกันดูนะคะ นอกจากจะช่วยให้คุณค่อยๆ เลิกกาแฟได้แล้ว ยังไม่ทำให้ปวดหัวมากขึ้นด้วยค่ะ
อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก : caffeineinformer.com, foodsmart.com, health.clevelandclinic.org
Featured Image Credit : freepik.com/senivpetro
ติดตามเราได้ที่ … เฟสบุ๊ค : เกร็ดสุขภาพ