“เพื่อสุขภาพ” ชุมชนสุขภาพ เรื่องราวตรงใจ ตอบโจทย์ทุกช่วงวัย รุ่นไหนก็รัก ♡
วิตามินคืออะไร ? ช่วยอะไรต่อร่างกาย เข้าใจได้ใน 1 บทความ !
เวลาที่มีอาการ ผมร่วง มีรังแคที่หนังศีรษะ เล็บเปราะบาง เกิดแผลที่มุมปาก เลือดออกตามไรฟัน หรือมองเห็นตอนกลางคืนได้ไม่ดี เหล่านี้คืออาการขาดวิตามิน อาการข้างต้นนั้นเป็นสัญญาณเตือนจากร่างกายที่บอกให้รู้ว่าการขาดวิตามินที่กำลังเกิดขึ้นแล้ว บทความจึงขอมาทำความรู้จักกับวิตามิน เพื่อให้รู้ว่าวิตามินคืออะไร มีประโยชน์อย่างไรต่อร่างกาย รวมถึงแนะนำไอเดียวิตามินเพื่อเสริมสร้างสุขภาพในยามที่ร่างกายขาดแคลน
เกร็ดสุขภาพ : วิตามินเป็นสารประกอบอินทรีย์ที่ผู้คนต้องการในปริมาณน้อย ส่วนใหญ่จำเป็นต้องได้รับมาจากอาหารเพราะร่างกายผลิตไม่ได้หรือผลิตได้น้อยมาก สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีความต้องการวิตามินที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น มนุษย์จำเป็นต้องได้รับวิตามินซีจากอาหาร ในขณะที่สุนัขสามารถผลิตวิตามินซีได้ตามที่ต้องการ หรือวิตามินดีในปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกายนั้นไม่สามารถหาได้จากอาหาร แต่ร่างกายมนุษย์สังเคราะห์วิตามินดีเมื่อสัมผัสกับแสงแดด
ชวนรู้จัก วิตามินคืออะไร ? พร้อมยี่ห้อวิตามิน-อาหารเสริมแนะนำ !
วิตามินละลายในน้ำหรือในไขมัน
ความสามารถในการละลายของวิตามินเป็นตัวกำหนดว่าวิตามิน หน้าที่ภายในร่างกายเป็นอย่างไร โดยจำแนกตามสามารถละลายได้ในไขมันหรือละลายในน้ำ สำหรับวิตามินที่ละลายในไขมันนั้น เมื่อละลายในไขมันแล้ว จะถูกดูดซึมไว้ในไขมันที่เดินทางเข้าสู่การไหลเวียนโลหิตทั่วไป ผ่านระบบน้ำเหลืองของลำไส้เล็ก เมื่ออยู่ภายในร่างกายวิตามินกลุ่มนี้มักถูกเก็บไว้ในตับและเนื้อเยื่อไขมัน วิตามินที่ละลายในไขมัน ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี วิตามินเค
ส่วนอีกกลุ่มจะเป็นวิตามินที่ละลายน้ำได้ ซึ่งจะไม่ถูกเก็บไว้ในร่างกาย เพราะร่างกายจะได้รับมาอย่างต่อเนื่องผ่านอาหารที่รับประทานในทุกๆ วัน เมื่อวิตามินกลุ่มนี้ถูกดูดซึมไปบางส่วน ส่วนเกินจะถูกขับออกจากร่างกาย วิตามินที่ละลายน้ำได้ ได้แก่ วิตามินซี วิตามิน บี1 บี2 บี3 บี6 บี12 กรดแพนโทธีนิก กรดโฟลิก
ประเภทของวิตามิน แต่ละชนิดมีหน้าที่อะไรบ้าง ?
วิตามินเป็นสารอาหารรองที่จำเป็นเพื่อไปรวมกับกระบวนการเผาผลาญอาหารที่ช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงานจากคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน แล้วหน้าที่ของวิตามินคืออะไร วิตามินต่างชนิดกันก็จะมีหน้าที่แตกต่างกันไป โดยประเภทของวิตามินนั้น มีทั้งหมด 13 ชนิด และมีถึง 8 ชนิด ที่มาจากวิตามินกลุ่มบี
• วิตามินเอ
วิตามินเอ มีความสำคัญเพราะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพจึงสามารถต่อสู้กับโรคและการติดเชื้อได้ ช่วยให้ผิวหนังแข็งแรง และช่วยการมองเห็น วิตามินเอพบได้ทั้งในอาหารจากสัตว์ เช่น ตับ ไข่ นม และผลิตภัณฑ์นมเสริมวิตามินเอ
นอกจากนี้ยังมีอาหารจากพืชซึ่ง ได้แก่ ผลไม้ ผักสีส้มและสีเหลือง (แครอท พริกแดง มะม่วง มันเทศ แอปริคอต ฟักทอง และแคนตาลูป) ผักใบเขียว เช่น ผักโขม ถั่วลันเตา และบร็อคโคลี่
ความเสี่ยงจากการขาดวิตามินเอนั้น ส่งผลต่อสุขภาพได้หลายประการ เช่น เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ตาบอดกลางคืน
• วิตามินกลุ่มบี
วิตามินกลุ่มบีช่วยให้ร่างกายใช้สารอาหารที่ให้พลังงาน (เช่น คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน) วิตามินกลุ่มบีบางชนิดมีความจำเป็นเพื่อช่วยให้เซลล์เพิ่มจำนวนโดยการสร้าง DNA ใหม่ ยกเว้น บี12 และโฟเลตที่ตับเก็บไว้
วิตามินกลุ่มบี ส่วนใหญ่ไม่สามารถเก็บไว้โดยร่างกายได้ จึงต้องบริโภคเป็นประจำ วิตามินกลุ่มบี ได้แก่ วิตามินบี1 ไรโบฟลาวิน (บี2) ไนอาซิน (บี3) กรดแพนโทธีนิก (บี5) ไพริดอกซิ (บี6) ไบโอติน (บี7) ไซยาโนโคบาลามิน (บี12) และโฟเลต
สาเหตุการขาดวิตามินบี มาจากการรับประทานอาหารไม่ดี ไม่มีประโยชน์เป็นเวลานานติดต่อกัน
• วิตามินซี
การรับประทานอาหารที่มีวิตามินซี (จากอาหารและเครื่องดื่ม) เป็นประจำนั้นเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากร่างกายมนุษย์ไม่สามารถสร้างวิตามินนี้จากสารประกอบอื่นได้ และร่างกายก็ไม่สามารถเก็บวิตามินซีไว้ได้นาน
ซี (กรดแอสคอร์บิก) วิตามินคืออะไรนั้น บอกเลยว่ามีความสำคัญต่อกระบวนการหลายอย่าง ได้แก่ การสร้างคอลลาเจน การทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ การดูดซึมธาตุเหล็ก การต่อสู้กับการติดเชื้อเนื่องจากวิตามินซีไวต่อความร้อน จึงอาจสูญเสียไปในระหว่างการปรุงอาหาร ดังนั้นอาหารสดจึงเป็นแหล่งอาหารที่มีวิตามินซี ตัวอย่างเช่น ผลไม้ (เช่น ส้ม มะนาว แบล็คเคอแรนท์ มะม่วง กีวีมะเขือเทศ และสตรอเบอร์รี่) ผัก โดยเฉพาะผักใบเขียว (เช่น กะหล่ำปลี พริกชี้ฟ้า ผักโขม กะหล่ำดาว ผักกาด และบร็อคโคลี่) กะหล่ำดอก และมันฝรั่ง
หากเป็นโรคขาดวิตามินซีจะทำให้มีอาการเลือดออกตามไรฟัน เหนื่อยล้าและรู้สึกไม่สบาย เบื่ออาหาร ปวดข้อและกล้ามเนื้อ
• วิตามินดี
วิตามินที่ส่งผลต่อกระดูก กล้ามเนื้อ และสุขภาพโดยรวมที่แข็งแรง รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) จากดวงอาทิตย์จำเป็นต่อการผลิตวิตามินดีในผิวหนัง และเป็นแหล่งวิตามินดีจากธรรมชาติที่ดีที่สุด แหล่งอาหารวิตามินดี ได้แก่ ปลาที่มีไขมัน (เช่น ปลาแซลมอน) ไข่ มาการีน และนมบางชนิด
ส่วนการขาดวิตามินดีอาจทำให้ความหนาแน่นของกระดูกลดลงในวัยผู้ใหญ่ เพิ่มความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน เวลาหกล้มก็ทำให้กระดูกหักง่าย (โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้สูงอายุ)
• วิตามินอี
วิตามินอี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องร่างกายจากการทำลายของอนุมูลอิสระ เช่น การสัมผัสกับควันบุหรี่หรือรังสี เป็นต้น
แหล่งอาหารของวิตามินอีนั้น พบได้ในอาหารที่แปรรูปน้อยๆ หรืออาหารสด โดยพบในเนื้อสัตว์ (เช่น ตับ) ไข่แดง ผักใบเขียว (ผักโขม บร็อคโคลี่) ถั่ว และเมล็ดพืชต่างๆ (อัลมอนด์ เมล็ดทานตะวัน ถั่วลิสงและเฮเซลนัท) น้ำมันที่ดีต่อสุขภาพ (นำมันมะกอก ทานตะวัน ถั่วเหลือง)
ภาวะขาดวิตามินอีพบได้ไม่บ่อยนักแต่สามารถเกิดขึ้น โดยทำให้เกิดการดูดซึมไขมันไม่ปกติ (เช่นโรคซิสติกไฟโบรซิส )
• วิตามินเค
สำหรับคนที่สงสัยว่า เค วิตามินคืออะไร บอกเลยว่าวิตามินชนิดนี้มีความสำคัญต่อกระดูกที่แข็งแรง การแข็งตัวของเลือดและการสมานแผล ร่างกายของผู้ใหญ่ได้รับวิตามินเคจากอาหารและแบคทีเรียในทางเดินอาหาร แต่ทารกแรกเกิดจะต้องได้รับอาหารเสริมเพื่อเพิ่มระดับวิตามินเค เนื่องจากร่างกายยังไม่มีแบคทีเรียในทางเดินอาหาร
ส่วนแหล่งอาหารนั้น ได้แก่ ผักใบเขียว (ผักโขมและคะน้า) ผลไม้ (เช่น อะโวคาโดและกีวี) น้ำมันพืชบางชนิด (เช่น น้ำมันถั่วเหลือง)
โดยทั่วไปมักไม่เกิดการขาดวิตามินเค ยกเว้นเมื่อไขมันไม่ถูกดูดซึมอย่างเหมาะสมหรือเมื่อใช้ยาบางชนิด ตัวอย่างเช่น ยาปฏิชีวนะที่ฆ่าเชื้อแบคทีเรียในทางเดินอาหารที่ผลิตวิตามินเคได้
แนะนำวิตามิน-อาหารเสริม
ตามปกติแล้วร่างกายได้รับวิตามินจากอาหารที่กินเข้าไป แต่อาจจะมีเพื่อนๆ บางคนมีรูปแบบการกินที่แตกต่างไป เช่น ผู้ที่กินอาหารมังสวิรัติ ทำให้เนื่องขาดสารอาหารบางอย่างที่ร่างกายต้องการ ซึ่งต้องมาจากผลิตภัณฑ์สัตว์เท่านั้น เพื่อให้แน่ใจว่ามีสุขภาพที่ดี เพื่อนๆ ที่มีไลฟ์สไตล์ดังกล่าวจึงจำเป็นต้องรับประทานวิตามินอาหารเสริมเพิ่มเติม เช่น
1. วิตามินบี 12 รสสตรอเบอร์รี่ของ Natrol
วิตามินบี B-12 ของ Natrol มีวิตามินบี12 ปริมาณ 5,000 ไมโครกรัม มีประโยชน์หลายด้าน โดยวิตามิน หน้าที่กระตุ้นการใช้พลังงาน ส่งเสริมระบบประสาทที่มีสุขภาพดี และจำเป็นต่อการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง คุณลักษณะเด่นของวิตามินนี้คือ เป็นอาหารเสริมที่ละลายได้รวดเร็ว มีรสชาติตามธรรมชาติ และเหมาะกับผู้รับประทานมังสวิรัติ
วิธีกิน : วันละ 1 เม็ด
ขนาดบรรจุ : 100 เม็ด/กล่อง
ราคาโดยประมาณ : 436 บาท
2. วิตามินซี พร้อมโรสฮิพของ Puritan
หากเพื่อนๆ หาอาหารวิตามินซีสูงไม่ได้ แนะนำวิตามินซี พร้อมโรสฮิพของ Puritan ซึ่งมีวิตามินซี 1,000 มิลลิกรัม จุดเด่นก็คือ วิตามินซีจะดูดซึมต่อเนื่อง โดยวิตามินจะค่อยๆ แตกตัวให้ร่างกายแล้วดูดซึม และมีผลยาวนานถึง 8 ชั่วโมง ในขณะที่โรสฮิพจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินซี ได้ดียิ่งขึ้น
วิธีกิน : ครั้งละ 1-2 เม็ด พร้อมมื้ออาหาร วันละ 1 ครั้ง
ขนาดบรรจุ : 250 เม็ด/กล่อง
ราคาโดยประมาณ : 950-999 บาท
3. วิตามินอี ของ Blackmores
วิตามินอี ของ Blackmores มีวิตามินอี ปริมาณ 1,000 มิลลิกรัม โดยวิตามิน หน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยรักษาไขมันในเลือดและโคเลสเตอรอลให้เหมาะสม ทั้งนี้ปริมาณวิตามินอี 1,000 มิลลิกรัมนี้เป็นปริมาณที่เหมาะสมกับร่างกายจะได้รับใน 1 วัน โดยใน 1 แคปซูลจะมีสารสำคัญคือ d-alpha-tocopherol 670 มิลลิกรัม
วิธีกิน : วันละ 1 แคปซูล พร้อมอาหาร
ขนาดบรรจุ : 100 แคปซูล/กล่อง
ราคาโดยประมาณ : 896-2,078 บาท
คำแนะนำเพิ่มเติม : ควรเก็บรักษาที่อุณหภูมิต่ำกว่า 30 องศาเซลเซียส
หวังว่าบทความนี้จะช่วยตอบคำถามในเรื่องวิตามินคืออะไร ประเภทของวิตามินว่ามีอะไรบ้าง รวมถึงเป็นไอเดียสำหรับการซื้อวิตามินหรือ อาหารเสริมไม่มากก็น้อยนะ
อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก : betterhealth.vic.gov.au, clancymedicalgroup.com, thriva.co
Featured Image Credit : freepik.com/topntp26
ติดตามเราได้ที่ … เฟสบุ๊ค : เกร็ดสุขภาพ