X

จอประสาทตาเสื่อม อายุน้อย รักษาได้มั้ย ? รู้จักโรคจอประสาทตาเสื่อมตามอายุกัน !

เพื่อสุขภาพ” ชุมชนสุขภาพ เรื่องราวตรงใจ ตอบโจทย์ทุกช่วงวัย รุ่นไหนก็รัก ♡

จอประสาทตาเสื่อม อายุน้อย รักษาได้มั้ย ? รู้จักโรคจอประสาทตาเสื่อมตามอายุกัน !

จอประสาทตาเสื่อมมักเป็นโรคที่พบได้มากในวัยผู้สูงอายุและมักจะไม่แสดงอาการในระยะแรกเริ่ม จึงทำให้หลายคนไม่ทันสังเกตและปล่อยทิ้งไว้จนลุกลาม และอาจทำให้เสียการมองเห็นส่วนใหญ่ได้ แต่นอกจากผู้สูงอายุแล้ว จอประสาทตาเสื่อม อายุน้อย ก็มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้เช่นกัน และเราก็ได้นำข้อมูลเกี่ยวกับอาการจอประสาทตาเสื่อมมาฝากกันด้วยค่ะ อาการเป็นยังไง จอประสาทตาเสื่อม รักษาอย่างไรได้บ้าง ไปดูพร้อมๆ กันเลย

จอประสาทตาเสื่อม อายุน้อย เป็นได้ไหม ? ป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อมตามอายุได้ยังไงบ้าง ?!

จอประสาทตาเสื่อม อายุน้อย, จอประสาทตาเสื่อม รักษา
Image Credit : freepik.com

จอประสาทตาเสื่อม คือโรคชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการที่จอประสาทตาในลูกตาเสื่อมสภาพลงจนไม่สามารถรับภาพได้ดีเหมือนเดิม ซึ่งอาการของโรคจอประสาทตาเสื่อมนั้นจะไม่ปรากฏในทันทีแต่จะทำให้การมองเห็นแย่ลงเรื่อยๆ หรือมองภาพบิดเบี้ยวไปทีละเล็กทีละน้อย จนถึงจุดที่สูญเสียการมองเห็นส่วนใหญ่ไป มักจะเกิดขึ้นกับคนที่อายุ 50 ปีขึ้นไปมากกว่าในผู้ที่อายุยังน้อย และส่วนใหญ่พบได้ในผู้สูงวัยที่มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป แต่ก็ไม่ใช่ว่าจอประสาทตาเสื่อม อายุน้อยจะไม่มีโอกาสเป็นได้เลย เพราะในบางรายก็พบว่าเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมก่อนวัยได้เช่นกัน ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 20 ปี หรือในผู้ที่อยู่ในช่วงอายุ 30 ถึง 40 ปี เรามาทำความรู้จักกับโรคตาชนิดนี้ให้มากขึ้นกันเลยค่ะ

ประเภทของโรคจอประสาทตาเสื่อม

โรคจอประสาทตาเสื่อมแบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ

1. จอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้ง

เป็นโรคที่เกิดจากเซลล์จอประสาทตาเสื่อมสภาพตามอายุที่มากขึ้น ซึ่งโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้งสามารถพบได้มากถึง 90% ของผู้ป่วยโรคจอประสาทตาเสื่อมเลยทีเดียว และในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการที่จะรักษาให้หายขาดได้

2. จอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียก

จอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียก เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมอันเกิดจากการที่เส้นเลือดในจอตาแตก ทำให้เลือดไหลออกมาและคั่งอยู่ในบริเวณจอประสาทตา ส่งผลให้เกิดการบวม ทำให้การรับภาพผิดเพี้ยนไปจากเดิม และสูญเสียการมองเห็นอย่างรวดเร็วทันที สำหรับโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดนี้พบได้เพียง 10% ของผู้ป่วยที่เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม อายุน้อย ซึ่งอาจเกิดจากกรรมพันธุ์หรืออาจเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุก็ได้ และเป็นโรคที่มีความรุนแรงกว่าจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้งอีกด้วย

อาการของโรคจอประสาทตาเสื่อม

จอประสาทตาเสื่อม อายุน้อย, จอประสาทตาเสื่อม รักษา
Image Credit : freepik.com

โรคจอประสาทตาเสื่อม อายุน้อยในระยะแรกนั้นจะไม่ปรากฏอาการอย่างชัดเจน แต่ถ้าเริ่มมีอาการหนักขึ้นก็จะทำให้ประสิทธิภาพการมองเห็นเปลี่ยนไป โดยสามารถสังเกตอาการได้ ดังนี้

  1. การมองเห็นแย่ลง มองเห็นเป็นภาพเบลอๆ เป็นสีเทาดำมืดๆ โดยเฉพาะส่วนกลางของภาพที่อาจจะเกิดขึ้นกับตาข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้
  2. ภาพที่เห็นบิดเบี้ยวผิดรูป เช่น เห็นเส้นตรงเป็นเส้นคด
  3. แยกใบหน้าบุคคลได้ยากขึ้น
  4. อ่านตัวหนังสือได้ไม่ค่อยชัด
  5. แยกสีสันได้น้อยลง จะต้องใช้แสงมากขึ้นเพื่อให้มองเห็นสีได้ชัดเจนขึ้น
  6. ความสามารถในการมองเห็นสิ่งต่างๆ ลดลงเมื่ออยู่ในที่ที่มีแสงน้อย

ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม อายุน้อย

ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม อายุน้อย แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะมีปัจจัยเสี่ยงร่วมกัน ดังนี้

  1. เชื้อชาติของคนผิวขาวมีโอกาสเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมมากกว่าชาติอื่นๆ
  2. การสูบบุหรี่
  3. เป็นโรคเบาหวาน ซึ่งอาจทำให้เกิดความผิดปกติของหลอดเลือดได้มากกว่าคนทั่วไป และมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียก
  4. ผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด หรือโรคที่มีความเกี่ยวข้องกับความดันโลหิต อาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกได้มากกว่าคนทั่วไป
  5. ผู้ที่คนในครอบครัวมีประวัติเป็นจอประสาทตาเสื่อม

เกร็ดสุขภาพ : มีการศึกษาพบว่า โรคจอประสาทตาเสื่อมนั้นไม่เกี่ยวข้องกับการใช้สายตามากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการเล่นโทรศัพท์มือถือ ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน หรืออยู่กลางแดด ดังนั้นเด็ก ติดมือถือจึงไม่ใช่สาเหตุหลักของโรคจอประสาทตาเสื่อมในผู้ที่อายุน้อย แต่การใช้สายตามากเกินไปหรืออยู่ในที่แสงมากเกินไปอาจจะส่งผลให้เกิดโรคต้อหรือโรคเกี่ยวกับตาชนิดอื่นได้

วิธีป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อม อายุน้อย

จอประสาทตาเสื่อม อายุน้อย, จอประสาทตาเสื่อม รักษา
Image Credit : freepik.com

ในปัจจุบันยังไม่สามารถป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อม อายุน้อยได้แบบ 100% แต่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตก็มีส่วนช่วยได้บางส่วน การป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อมนั้น สิ่งที่ทำได้ก็คือ การงดสูบบุหรี่และเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารบำรุงสายตาที่มีส่วนประกอบของวิตามินซี วิตามินเอ เบต้าแคโรทีน สังกะสี ทองแดง และลูทีน เช่น ตำลึง มะละกอ มะเขือเทศ ฟักทอง แครอท คะน้า พริกหยวก เป็นต้น  เพื่อป้องกันโรคจอประสาทต่อเสื่อมไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ รวมถึงการตรวจสุขภาพดวงตาอย่างสม่ำเสมอก็จะสามารถลดโอกาสในการสูญเสียการมองเห็นได้

โรคจอประสาทตาเสื่อม รักษาอย่างไร ?

ในผู้ที่เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม รักษาได้ด้วยวิธีการที่แตกต่างกันไปตามลักษณะชนิดของโรค โดยแบ่งการรักษาออกเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้งและชนิดเปียก

1. การรักษาโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้ง

ในปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ทำได้เพียงชะลอให้จอประสาทตาเสื่อมช้าลงเท่านั้น ซึ่งควรเข้ารับการตรวจสุขภาพของดวงตาเป็นประจำ งดสูบบุหรี่ ควบคุมโรคเบาหวานและโรคหัวใจและหลอดเลือด ร่วมกับการกินอาหารที่มีประโยชน์ ก็จะช่วยชะลอความเสื่อมลงได้ แต่ถ้าหากมีการสูญเสียการมองเห็นไปบ้างแล้ว แพทย์อาจจะต้องใช้วิธีผ่าตัดใส่กล้องโทรทัศน์ขนาดเล็กเข้าไปที่ดวงตา เพื่อเปลี่ยนจุดรับแสงให้การมองเห็นกลับมาใกล้เคียงกับปกติมากที่สุด

2. การรักษาโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียก

สำหรับการรักษาโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกมี 3 แบบ คือการฉายแสงเลเซอร์ การใช้ยาฉีด และการผ่าตัดรักษาจอประสาทตา โดยแต่ละวิธีนั้นจะขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ว่าอาการของผู้ป่วยเหมาะกับการรักษาด้วยวิธีการแบบไหน แต่ควรรีบเข้ารับการรักษาโดยเร็วที่สุดเพราะโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกเป็นอาการที่รุนแรงและรักษาให้หายได้ยากกว่าชนิดแห้ง

เกร็ดสุขภาพ : โรคจอประสาทตาเสื่อมไม่เหมือนกับโรควุ้นในตาเสื่อม เนื่องจากโรคจอประสาทตาเสื่อมอาจจะหาสาเหตุของโรคไม่ได้ แต่โรควุ้นในตาเสื่อมมีสาเหตุมาจากการใช้สายตาอย่างผิดวิธีและใช้งานสายตาหนักเกินไป เช่น การทำงานหน้าคอมเป็นเวลานาน, เล่นโทรศัพท์ในที่มืดเป็นเวลานาน, อายุที่เพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป หรือในผู้ที่มีสายตาสั้นมาก เป็นต้น โดยผู้ป่วยโรควุ้นในตาเสื่อมจะมีอาการเห็นเงาดำลอยไปมาในตา, เห็นเงาดำจุดใหม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว, มองเห็นภาพไม่ชัด, สายตาฝ้าฟางเหมือนมีหยากไย่ในลูกตา, เห็นแสงวาบในตา, ,มองเห็นเงาคล้ายม่านบังตาบางส่วน และความสามารถในการมองเห็นลดลง

โรคจอประสาทตาเสื่อมในผู้ที่มีอายุน้อยอาจทำให้รู้สึกปวดตาได้เมื่อต้องใช้สายตาหนักๆ ใครที่กำลังอยู่ในช่วงรักษาดวงตาจึงควรหยุดพักการมองหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือมือถือสักพัก หรืออาจจะใช้เครื่องนวดตาร่วมด้วยก็ได้เมื่อรู้สึกปวดตา (สามารถอ่าน เครื่องนวดตา ยี่ห้อไหนดี? เป็นข้อมูลเพิ่มเติมได้นะคะ) อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ดีที่สุดก็คือการป้องกันและถนอมการใช้ดวงตาให้ดีที่สุดก่อนจะสายเกินแก้ค่ะ

อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก : paolohospital.com, samitivejchinatown.com, pharmacy.mahidol.ac.th, nei.nih.gov

Featured Image Credit : freepik.com/cookie_studio

ติดตามเราได้ที่ … เฟสบุ๊ค : เกร็ดสุขภาพ

ติดต่อโฆษณา

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้การวิเคราะห์

    เราขออนุญาติใช้คุกกี้นี้เก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ เพื่อประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ที่ดีขึ้นให้กับคุณ

Save