“เพื่อสุขภาพ” ชุมชนสุขภาพ เรื่องราวตรงใจ ตอบโจทย์ทุกช่วงวัย รุ่นไหนก็รัก ♡
เจ็บเปลือกตา เวลากระพริบตา ต้องทำยังไงนะ ? ชวนดูวิธีรักษา และดูแลตัวเองกัน !
หากใครกำลังมีปัญหา เจ็บเปลือกตา เวลากระพริบตา หรือรู้สึกแสบตา น้ำตาไหล ตาแห้ง หยอดน้ำตาเทียมเท่าไหร่อาการก็ยังไม่ดีขึ้น อาจบ่งบอกถึงโรคเกี่ยวกับดวงตาได้ ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นในผู้ที่ทำงานใช้สายตาจ้องหน้าจอต่อเนื่องเป็นเวลานาน หรืออาจมีความผิดปกติบางอย่างเกี่ยวกับดวงตาของเรา ถ้ารู้สึกเจ็บเปลือกตาทุกครั้งที่กระพริบตาต้องทำยังไง มีวิธีดูแลรักษายังไงบ้าง มาดูกันเลยค่ะ
เจ็บเปลือกตา เวลากระพริบตา บ่งบอกอะไรได้บ้าง? มาดูลักษณะอาการและวิธีดูแลรักษากันเลย !
อาการเจ็บเปลือกตา เวลากระพริบตานั้น อาจบ่งบอกถึงอาการของโรคตาแห้งได้ เนื่องจากมีปริมาณน้ำตาไม่เพียงพอต่อการหล่อเลี้ยงความชุ่มชื้นให้แก่ผิวตา เป็นอาการที่สามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน แต่ไม่ใช่โรคที่ร้ายแรงอะไรและสามารถหายได้เอง แต่อาจจะทำให้รู้สึกไม่สบายตา และรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันได้ไม่มากก็น้อย และถ้าปล่อยไว้นานก็อาจจะถึงอักเสบเรื้อรังจนเสี่ยงต่ออาการตาบอดได้เลย
เจ็บเปลือกตา เวลากระพริบตา เกิดขึ้นได้อย่างไร ?
ตามปกติแล้วน้ำตาถูกสร้างขึ้นจากต่อมน้ำตา 2 ส่วน คือ ต่อมน้ำตาที่เป็นเซลล์เล็กๆ ซึ่งอยู่บริเวณเยื่อเมือกที่คลุมตาขาวและด้านในเปลือกตา ทำหน้าที่ผลิตน้ำตาออกมาเพื่อหล่อลื่นดวงตาทั้งวัน และอีกส่วนคือต่อมน้ำตาขนาดใหญ่ที่อยู่ภายใต้โพรงกระดูกเบ้าตา ซึ่งจะผลิตน้ำตาออกมาเมื่อเกิดอารมณ์ต่างๆ เช่น อาการเจ็บปวด ระคายเคืองตา ดีใจหรือเสียใจ เมื่อต่อมน้ำตาส่วนด้านในเปลือกตาและส่วนเยื่อเมือกคลุมตาขาวไม่สามารถผลิตน้ำตาออกมาหล่อลื่นดวงตาได้อย่างเพียงพอ ก็จะเกิดการระคายเคืองจนทำให้เจ็บเปลือกตา เวลากระพริบตานั่นเอง
ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคตาแห้ง
สาเหตุของการเกิดโรคตาแห้งปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่มีการศึกษาพบว่า มีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลให้เกิดโรคตาแห้ง ดังนี้
- อายุที่เพิ่มขึ้นทำให้ร่างกายสร้างน้ำตาได้ลดลง เป็นผลมาจากฮอร์โมนที่ลดลงทำให้สารคัดหลั่งในร่างกายลดลงตามไปด้วย
- การทำงานของเปลือกตามีปัญหา เช่น การนอนหลับตาไม่สนิท กระพริบตาน้อย หรือมีปัญหาเปลือกตาผิดรูป
- ใช้สายตาทำงานเป็นเวลานานติดต่อกัน เช่น มองหน้าจอคอมพิวเตอร์ อ่านหนังสือในที่แสงสว่างน้อย หรือเล่นโทรศัพท์มือถือมากเกินไป เป็นต้น
- เกิดจากสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่นละลองมากโดยเฉพาะ PM2.5 หรือลมแรงจนทำให้ดวงตาแห้ง
- การใส่คอนเทคเลนส์ที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ได้มาตรฐาน
- การผ่าตัดกระจกตาหรือเปลี่ยนกระจกตา การอักเสบของกระจกตาจากเชื้อเริม
- ยาบางชนิดอาจจะส่งผลให้เกิดอาการตาแห้งได้
- โรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคเบาหวาน
อาการของโรคตาแห้งเป็นยังไง ?
ผู้ที่เป็นโรคตาแห้ง นอกจากจะรู้สึกเจ็บเปลือกตา เวลากระพริบตาแล้ว ยังมีอาการแสบเคืองดวงตา ฝืดตา รู้สึกไม่สบายตาเหมือนมีฝุ่นอยู่ในดวงตาตลอดเวลาอีกด้วย รวมทั้งอาจรู้สึกเมื่อยตา หนักตา ตาแดง น้ำตาไหลมากผิดปกติ หรือไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนเหมือนเคย หากพบว่ามีอาการดังกล่าว ควรพบจักษุแพทย์ทันที ถ้าปล่อยไว้นานอาจทำให้อาการอักเสบรุนแรงยิ่งขึ้นจนถึงขั้นตาบอดได้
เกร็ดสุขภาพ : อาการเจ็บเปลือกตา เวลากระพริบตาอาจไม่ใช่อาการของโรคตาแห้งเสมอไป หากรู้สึกคันร่วมด้วยอาจเป็นอาการของโรคตากุ้งยิงได้เช่นกัน โดยโรคตากุ้งยิงนั้นเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียบริเวณเปลือกตา มีความแตกต่างจากโรคตาแห้งตรงที่บริเวณเปลือกตาจะมีอาการอักเสบเป็นตุ่มเล็กคล้ายสิวด้วย ทำให้รู้สึกเจ็บๆ คันๆ ที่บริเวณเปลือกตา แต่ถ้าพบว่าตาแดงและรู้สึกปวดในเบ้าตาด้วยก็อาจจะเป็นอาการของโรคตาแดงได้ (สามารถอ่าน โรคตาแดง สาเหตุ เป็นข้อมูลเพิ่มเติมได้นะคะ) หากไม่แน่ใจว่าเจ็บเปลือกตาจากสาเหตุอะไร ควรไปพบแพทย์เพื่อที่จะได้รับการวินิจฉัยอย่างถูกต้อง และรักษาให้ถูกโรคนะคะ
วิธีการรักษาโรคตาแห้ง
การรักษาอาการเจ็บเปลือกตา เวลากระพริบตาหรือการรักษาโรคตาแห้งมีหลายวิธีที่สามารถรักษาเบื้องต้นด้วยตนเองได้ ดังนี้
1. ดูแลดวงตาให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ
หลีกเลี่ยงการปะทะกับแดด ลม และฝุ่นละลองต่างๆ โดยตรง โดยอาจจะสวมแว่นกันแดดเมื่ออยู่กลางแจ้งหรือใช้กรอบแว่นชนิดพิเศษที่มีแผ่นคลุมปิดกันลมด้านข้าง และไม่ควรนั่งในที่ที่มีลมพัดหรือเป่าใส่ดวงตา เพราะจะทำให้ตาแห้งอย่างรุนแรง
2. กระพริบตาถี่ๆ
วิธีการนี้จะช่วยให้น้ำตามาหล่อเลี้ยงดวงตาได้มากขึ้น ในขณะที่เรากำลังทำงานหรือตั้งใจเพ่งสายตาทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่นั้น การกระพริบตาจะลดลงเหลือเพียง 8-10 ครั้ง/นาที ซึ่งโดยปกติแล้วควรกระพริบตา 20-22 ครั้ง/นาที ดังนั้นจึงควรพักสายตาโดยการกระพริบให้มากขึ้น และลุกเปลี่ยนอริยบททุกๆ 30 นาที
3. ใช้น้ำตาเทียม
หากอาการยังไม่ดีขึ้น สามารถใช้น้ำตาเทียมเพิ่มน้ำหล่อลื่นและให้ความชุ่มชื้นกับดวงตาได้ สำหรับผู้ป่วยที่ตาแห้งไม่มากสามารถใช้น้ำตาเทียมแบบที่มีสารกันบูดหรือน้ำตาเทียมรายเดือนได้ โดยควรหยอดไม่เกิน 4-5 ครั้ง/วัน แต่สำหรับผู้ป่วยที่ตาแห้งมากนั้นจำเป็นต้องใช้แบบที่ไม่มีสารกันบูดหรือน้ำตาเทียมรายวัน ซึ่งน้ำตาเทียมแบบนี้จะมีอายุการเก็บรักษาเพียง 16 ชั่วโมงหลังจากเปิดใช้เท่านั้น แต่สามารถใช้ได้บ่อยตามต้องการ
4. ทำการอุดรูระบายน้ำตา
สำหรับผู้ที่มีอาการตาแห้งอย่างรุนแรง แพทย์จะใช้วิธีอุดรูระบายน้ำตาเพื่อเก็บกักน้ำตาให้หล่อเลี้ยงดวงตาอยู่ได้นานๆ ไม่ให้ไหลทิ้งออกมามากเกินไป
5. ทำสปาตา
โดยการนวดและทำความสะอาดเปลือกตา เพื่อบรรเทาอาการระคายเคืองตาและช่วยรักษาโรคตาแห้ง
วิธีป้องกันการเกิดโรคตาแห้ง
สำหรับใครที่ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวันหรือจำเป็นต้องใช้สายตาอย่างหนัก สามารถป้องกันโรคตาแห้งได้โดยปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้
- ควรกระพริบตาอย่างน้อย 15-20 ครั้ง/นาที หากมีการใช้สายตานานๆ หรือพยายามกระพริบตาทุกครั้งที่นึกออก
- หลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมที่ส่งผลให้ตาแห้ง เช่น แสงแดด ลม ฝุ่นละลอง ควัน
- ควรรับการตรวจสุขภาพดวงตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
- ควรใช้น้ำตาเทียมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดวงตาบ้างในกรณีที่ตาแห้ง5. กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อดวงตา ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพรบำรุงสายตา และผักผลไม้ที่มีวิตามินเอ เช่น ตำลึง มะเขือเทศ แครอท ผักโขม เป็นต้น
เกร็ดสุขภาพ : หากรู้สึกเจ็บเปลือกตา เวลากระพริบตาแล้วไม่รีบรักษาอาจทำให้กระจกตาถลอกหรือเป็นแผลได้ เนื่องจากเปลือกตามีการระคายเคืองจนทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังนั่นเอง นอกจากนี้ การที่เป็นโรคตาแห้งหรือมีน้ำตาไม่เพียงพออาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่กระจกตาได้ด้วย ส่งผลทำให้กระจกตาขุ่นจากแผลและอาจทำให้การมองเห็นแย่ลงแบบถาวรได้เลยทีเดียว ดังนั้นเมื่อมีอาการเจ็บตาหลายวันแล้วไม่หายจึงควรรีบปรึกษาแพทย์จะดีกว่าเพื่อทำการรักษาได้อย่างถูกต้อง
หากรู้สึกเจ็บเปลือกตาในขณะที่กระพริบตา ก็เป็นไปได้ว่าจะเป็นโรคตาแห้ง ทั้งนี้ ยังมีโรคอื่นๆ ที่ทำให้มีอาการเจ็บเปลือกตาร่วมด้วย เช่น ตากุ้งยิง เปลือกตาอักเสบ เป็นต้น ทั้งนี้ทั้งนั้น เพื่อสุขภาพดวงตาของเรา หากมีอาการผิดปกติใดๆ เกี่ยวกับดวงตา ควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัย จะได้รักษาได้ตรงจุดนะคะ
อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก : theworldmedicalcenter.com, petcharavejhospital.com, bangkokhospital.com, rama.mahidol.ac.th
Featured Image Credit : vecteezy.com/Стас Пономарен
ติดตามเราได้ที่ … เฟสบุ๊ค : เกร็ดสุขภาพ